วันเสาร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2556

เศรษฐศาสตร์

เศรษฐศาสตร์  เป็นวิชาทางสังคมศาสตร์ที่ศึกษาการผลิต การบริโภค การกระจายสินค้า การค้า และการบริโภคสินค้าและบริการ ตามคำจำกัดความของนักเศรษฐศาสตร์และนักการเมือง เรย์มอนด์ บารร์ แล้ว "เศรษฐศาสตร์คือศาสตร์แห่งการจัดการทรัพยากรอันมีจำกัด เศรษฐศาสตร์พิจารณาถึงรูปแบบที่พฤติกรรมมนุษย์ได้เลือกในการบริหารทรัพยากรเหล่านี้ อีกทั้งวิเคราะห์และอธิบายวิถีที่บุคคลหรือบริษัททำการจัดสรรทรัพยากรอันจำกัดเพื่อตอบสนองความต้องการมากมายและไม่จำกัด" 
คำว่า เศรษฐศาสตร์ มาจากคำภาษากรีก oikonomia ซึ่งแปลว่าการจัดการครัวเรือน (oikosแปลว่าบ้านและnomosแปลว่า จารีตประเพณีหรือกฎหมาย ซึ่งรวมกันหมายความว่ากฎเกณฑ์ของครัวเรือน) แบบจำลองทางเศรษฐศาสตร์ปัจจุบันแยกออกมาจากขอบเขตที่กว้างของวิชาเศรษฐศาสตร์การเมืองเมื่อปลายศตวรรษที่ 19
การวิเคราะห์ทางเศรษฐศาสตร์ถูกประยุกต์ใช้ครอบคลุมทั้งสังคมในด้าน ธุรกิจ, การเงิน และรัฐบาล แม้แต่ทั้งด้านอาชญากรรม, การศึกษา, ครอบครัว, สุขภาพ, กฎหมาย, การเมือง, ศาสนา, สถาบันสังคม, สงคราม และวิทยาศาสตร์
วิชาเศรษฐศาสตร์จัดเป็นวิชาเชิงปทัสฐาน (เศรษฐศาสตร์ที่ควรจะเป็น) เมื่อเศรษฐศาสตร์ได้ถูกใช้เพื่อเลือกทางเลือกอันหนึ่งอันใด หรือเมื่อมีการตัดสินคุณค่าบางสิ่งบางอย่างแบบอัตวิสัย ในทางตรงข้ามเราจะเรียกเศรษฐศาสตร์ว่าเป็นวิชาเชิงบรรทัดฐาน (เศรษฐศาสตร์ตามที่เป็นจริง) เมื่อเศรษฐศาสตร์นั้นได้ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการทำนายและอธิบายถึงผลลัพธ์ที่ตามมาเมื่อมีการเลือกเกิดขึ้น โดยพิจารณาจากสมมติฐาน และชุดของข้อมูลสังเกตการณ์ ทางเลือกใดก็ตามที่เกิดจากการใช้สมมติฐานสร้างเป็นแบบจำลอง หรือเกิดจากชุดข้อมูลสังเกตการณ์ที่สัมพันธ์กันนั้น ก็เป็นข้อมูลเชิงบรรทัดฐานด้วยเช่นเดียวกัน
เศรษฐศาสตร์จะให้ความสนใจกับตัวแปรที่สามารถวัดค่าได้เท่านั้น โดยสาขาของวิชาเศรษฐศาสตร์จะถูกจำแนกออกตามเนื้อหาเป็นสองสาขาใหญ่ๆคือ
เศรษฐศาสตร์จุลภาค ซึ่งสนใจพฤติกรรมขององค์ประกอบพื้นฐานในระบบเศรษฐกิจซึ่งรวมถึง ตลาดแต่ละตลาดและตัวแทนทางเศรษฐกิจ(เช่นครัวเรือน หน่วยธุรกิจ ผู้ซื้อ และผู้ขาย)
เศรษฐศาสตร์มหภาค จะสนใจเศรษฐกิจในภาพรวม ตัวอย่างเช่น อุปทานมวลรวมและอุปสงค์มวลรวม การว่างงาน เงินเฟ้อ การเติบโตของเศรษฐกิจ นโยบายการเงินและนโยบายการคลัง เป็นต้น
นอกจากนี้ยังสามารถจำแนกออกตามการวิเคราะห์ปัญหาได้แก่
เศรษฐศาสตร์วิเคราะห์ หรือเศรษฐศาสตร์ตามความเป็นจริง (Positive economics)
เศรษฐศาสตร์นโยบาย หรือเศรษฐศาสตร์ตามที่ควรจะเป็น (Normative economics)
สำหรับประเด็นหลักๆที่เศรษฐศาสตร์ให้ความสนใจจะอยู่ที่การจัดสรรทรัพยากร การผลิต การกระจายสินค้า การค้า และการแข่งขัน โดยหลักการแล้วคำอธิบายทางเศรษฐศาสตร์จะถูกนำไปประยุกต์ใช้เพื่ออธิบายปัญหาที่เกี่ยวข้องกับทางเลือกภายใต้ข้อจำกัดด้านความขาดแคลนมากขึ้นเรื่อยๆ หรืออาจจะเรียกได้ว่ามีการกำหนดมูลค่าทางเศรษฐศาสตร์ให้กับทางเลือกนั้นๆ นั่นเอง

ในมหาวิทยาลัยและวิทยาลัยธุรกิจของประเทศอุตสาหกรรมส่วนใหญ่จะนิยมสอนทฤษฎีเศรษฐศาสตร์กระแสหลักที่เรียกว่า เศรษฐศาสตร์แบบสำนักคลาสสิกใหม่ (Neo - Classical Economics) ทั้งนี้ เศรษฐศาสตร์กระแสหลักจะวิเคราะห์ถึง "ความเป็นเหตุเป็นผล-ความเป็นปัจเจกชน-ดุลยภาพ" ตรงกันข้ามกับเศรษฐศาสตร์ทางเลือกที่เน้นวิเคราะห์ "สถาบัน-ประวัติศาสตร์-โครงสร้างสังคม" เป็นหลัก

1. เศรษฐศาสตร์จุลภาค (อังกฤษ: Microeconomics) เป็นเศรษฐศาสตร์สาขาหนึ่งซึ่งศึกษาพฤติกรรมและการตัดสินใจของบุคคล ครัวเรือน และบริษัท ในการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด[1] โดยเฉพาะในตลาดซึ่งมีการซื้อขายสินค้าและบริการ เศรษฐศาสตร์จุลภาคศึกษาว่าพฤติกรรมและการตัดสินใจเหล่านี้มีผลกระทบอย่างไรต่ออุปสงค์และอุปทานของสินค้าและบริการ ซึ่งเป็นตัวกำหนดราคา และในทางกลับกัน ราคากำหนดอุปสงค์และอุปทานของสินค้าและบริการอย่างไร[2][3]
จุดประสงค์หนึ่งของเศรษฐศาสตร์จุลภาคคือการวิเคราะห์กลไกตลาดซึ่งเป็นตัวกำหนดราคาเปรียบเทียบระหว่างสินค้าและบริการ และการจัดสรรทรัพยากรที่มีอยู่จำกัดเพื่อใช้ในทางเลือกต่าง ๆ เศรษฐศาสตร์จุลภาคศึกษาเกี่ยวกับความล้มเหลวของตลาด ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่กลไกตลาดไม่สามารถทำให้เกิดผลที่มีประสิทธิภาพได้ และยังอธิบายเกี่ยวกับข้อแม้ทางทฤษฎีที่จำเป็นต่อการเกิดการแข่งขันสมบูรณ์ สาขาที่สำคัญในเศรษฐศาสตร์จุลภาค เช่นดุลยภาพทั่วไป ตลาดภายใต้ความไม่สมมาตรของข้อมูล การตัดสินใจภายใต้ความไม่แน่นอน และการประยุกต์ใช้ทฤษฎีเกมในทางเศรษฐศาสตร์
ตลาด
เศรษฐศาสตร์จุลภาคถือเป็นแนวทางหลักในการวิเคราะห์เศรษฐกิจอย่างเป็นระบบ โดยมองว่าครัวเรือนและบริษัทที่ต่างก็ทำธุรกรรมระหว่างกันผ่านตลาดนั้นเป็นหน่วยย่อยที่สุดในระบบเศรษฐกิจซึ่งเผชิญกับความขาดแคลนและกฎระเบียบแห่งรัฐ ตลาดนั้นอาจมีขึ้นสำหรับสินค้า เช่น ข้าวสาร หรือบริการสำหรับปัจจัยในการผลิต เช่น การก่อสร้าง ก็ได้ ทฤษฎีจุลภาคนั้นจะพิจารณาปริมาณความต้องการมวลรวมของผู้ซื้อและปริมาณที่ผลิตโดยผู้ขายในทุกระดับราคาต่อหน่วย และเชื่อมโยงทั้งสองปริมาณเข้าด้วยกันเพื่ออธิบายการที่ตลาดเข้าสู่จุดดุลยภาพทางด้านราคาและปริมาณ และการตอบสนองของตลาดเมื่อเวลาผ่านไป
ทฤษฎีอุปสงค์และอุปทานเป็นหนึ่งในทฤษฎีการวิเคราะห์ข้างต้น นอกจากนี้ เศรษฐศาสตร์จุลภาคยังวิเคราะห์ถึงโครงสร้างของตลาด เช่น ตลาดแข่งขันสมบูรณ์และตลาดผูกขาด เพื่อทราบถึงพฤติกรรมและประสิทธิภาพของระบบเศรษฐกิจ การวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงในตลาดหนึ่งๆ มักเริ่มต้นจากสมมติฐานให้ตลาดอื่นๆ ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ทั้งนี้เพื่อง่ายต่อความเข้าใจ ดังนี้ เรียกว่าการวิเคราะห์ดุลยภาพบางส่วน (partial-equilibrium analysis) ขณะที่ทฤษฎีดุลยภาพทั่วไปจะอนุญาตให้มีการเปลี่ยนแปลงในตลาดอื่นๆ และใช้วิธีคำนวณปริมาณโดยรวมในทุกตลาด รวมไปถึงความเคลื่อนไหวของปริมาณดังกล่าวและปฏิสัมพันธ์เพื่อเข้าสู่จุดดุลยภาพ[5]
การผลิต, ต้นทุน และประสิทธิภาพ
การผลิตในทางเศรษฐศาสตร์จุลภาค คือการแปลงวัตถุดิบให้กลายเป็นผลผลิต กระบวนการทางเศรษฐศาสตร์นี้ใช้วัตถุดิบเพื่อผลิตเป็นสินค้าสำหรับการแลกเปลี่ยนหรือเพื่อใช้งานโดยตรง การผลิตมีลักษณะเป็น "กระแส" (flow) ดังนั้นจึงนิยามเป็นอัตราผลผลิตต่อหน่วยเวลา
ต้นทุนค่าเสียโอกาสหมายความถึงต้นทุนทางเศรษฐศาสตร์ของการผลิต หรือคือมูลค่าที่สูญไปของโอกาสที่ดีที่สุดในลำดับถัดไป อันเนื่องมาจากการที่เลือกได้เพียงอย่างหนึ่งอย่างใด ทั้งนี้ เราอาจอธิบายได้อีกอย่างว่าเป็น "ความสัมพันธ์เบื้องต้นระหว่างความขาดแคลนและทางเลือก"[6] ต้นทุนค่าเสียโอกาสของกิจกรรมหนึ่งๆ คือองค์ประกอบสำคัญที่จะรับประกันได้ว่าทรัพยากรอันมีจำกัดนั้นจะถูกใช้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยที่ต้นทุนจะถูกพิจารณาเปรียบเทียบกับมูลค่าของกิจกรรมนั้นๆ ในการตัดสินใจว่าควรเพิ่มหรือลดลง ต้นทุนค่าเสียโอกาสนั้นไม่ได้จำกัดว่าจะต้องเป็นเพียงตัวเงิน แต่อาจวัดโดยต้นทุนที่แท้จริงของผลผลิตที่สูญเสียไป, ความพึงพอใจ หรืออื่นใดที่ให้อรรถประโยชน์[7]
ความชำนาญเฉพาะ
ความชำนาญเฉพาะถือเป็นปัจจัยสำคัญต่อประสิทธิภาพของระบบเศรษฐกิจทั้งในเชิงทฤษฎีและหลักฐานเชิงประจักษ์ แต่ละบุคคล/ประเทศอาจจะมีต้นทุนค่าเสียโอกาสที่แท้จริงแตกต่างกันไป เช่น ความแตกต่างในด้านปริมาณคงคลังของทุนมนุษย์ (human capital) ต่อหน่วยแรงงาน หรือ อัตราส่วน ทุนต่อแรงงาน เป็นต้น ในทางทฤษฎีแล้ว สิ่งเหล่านี้อาจนำไปสู่ความได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบ (comparative advantage) ในการผลิตสินค้าที่ใช้ปัจจัยการผลิตที่มีปริมาณมากกว่าและถูกกว่าโดยเปรียบเทียบ ถึงแม้ประเทศหนึ่งๆ จะมีความได้เปรียบเชิงสัมบูรณ์ (absolute advantage) ในสัดส่วนปริมาณผลผลิตต่อปัจจัยการผลิตในทุกประเภทของผลผลิตแล้ว ประเทศนั้นๆ ก็อาจจะยังคงมีความชำนาญเฉพาะในผลผลิตที่มีความได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบแล้วทำการค้าขายกับอีกประเทศที่ไม่ได้มีความได้เปรียบเชิงสัมบูรณ์แต่มีความได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบในการผลิตสินค้าอื่นๆ
อุปสงค์และอุปทาน

Supply-demand-right-shift-demand.svg

อุปสงค์และอุปทานเป็นแบบจำลองทางเศรษฐศาสตร์ที่อธิบายถึงความสัมพันธ์ของราคาและปริมาณสินค้าในตลาด กล่าวทั่วไปคือ ข้อมูลทางทฤษฎีจะระบุว่าเมื่อใดก็ตามที่สินค้าถูกขายในตลาด ณ ระดับราคาที่ผู้บริโภคมีความต้องการสินค้ามากกว่าจำนวนสินค้าที่สามารถผลิตได้แล้ว ก็จะเกิดการขาดแคลนสินค้าขึ้น ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวก็จะส่งผลให้มีการเพิ่มขึ้นของระดับราคาของสินค้า โดยที่ผู้บริโภคกลุ่มที่มีความพร้อมในการจ่ายชำระ ณ ระดับราคาที่เพิ่มขึ้นนั้นก็จะส่งผลให้ราคาตลาดสูงขึ้น ในทางตรงข้ามระดับราคาจะต่ำลงเมื่อปริมาณสินค้าที่มีให้นั้นมีมากกว่าความต้องการที่เกิดขึ้น กระบวนการดังกล่าวจะดำเนินไปจนกระทั่งตลาดเข้าสู่จุดดุลยภาพ ซึ่งเป็นจุดที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดเกิดขึ้นอีก เมื่อใดก็ตามที่ผู้ผลิตทำการผลิตสินค้าที่จุดดุลยภาพนี้ ซึ่งเป็นจุดเดียวกับที่ผู้ซื้อตกลงซื้อที่ระดับราคาดังกล่าวแล้ว ณ จุดนี้กล่าวได้ว่าตลาดเข้าสู่จุดสมดุลแล้ว
ระดับราคา
ระดับราคาเป็นตัวแปรที่ถูกคิดค้นขึ้นมาเพื่อใช้ประโยชน์ในการวัดการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงของอุปสงค์และอุปทาน ระดับราคานั้นเป็นอัตราการแลกเปลี่ยนระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายในตลาด ดังนั้นทฤษฎีราคาจะกล่าวถึงเส้นกราฟที่แทนการเคลื่อนไหวของปริมาณที่สามารถวัดค่าได้ ณ เวลาต่างๆ และความสัมพันธ์ระหว่างราคากับตัวแปรที่วัดค่าได้อื่นๆ ในหนังสือ ความมั่งคั่งของประชาชาติ (The Wealth of Nations) ของ อดัม สมิธ ได้กล่าวเอาไว้ว่า มักจะมีภาวะได้อย่างเสียอย่างเสมอระหว่างราคาและความสะดวกสบาย ทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่จะถูกสร้างขึ้นอยู่บนพื้นฐานของระดับราคาและทฤษฎี อุปสงค์และอุปทาน (Demand & Supply) ในทางทฤษฎีเศรษฐศาสตร์แล้วเราสามารถส่งผ่านสัญญาณไปทั่วทั้งสังคมได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยผ่านทางระดับราคา เช่น ระดับราคาที่ต่ำลงจะแสดงให้เห็นถึงการเพิ่มขึ้นของอุปสงค์ ในขณะที่ระดับราคาที่สูงขึ้นจะแสดงให้เห็นถึงการเพิ่มขึ้นของอุปทาน เป็นต้น
แบบจำลองทางเศรษฐศาสตร์ในความเป็นจริงหลายชิ้นได้ชี้ให้เห็นว่ามีรูปแบบของ ระดับราคาที่ไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งจะแสดงถึงข้อเท็จจริงที่ระดับราคาไม่สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระในหลายๆ ตลาด ผู้กำหนดนโยบายทางเศรษฐกิจมักจะเข้ามาแสดงประเด็นโต้แย้งเพื่อให้เห็นถึงสาเหตุของความติดขัดในทางเศรษฐกิจ หรือระดับราคาที่ไม่เปลี่ยนแปลงซึ่งในที่สุดแล้วก็จะทำให้ไม่สามารถบรรลุดุลยภาพของอุปสงค์และอุปทานได้
มีเศรษฐศาสตร์บางสาขาจะให้ความสนใจว่าระดับราคานั้นสามารถวัดมูลค่าได้อย่างถูกต้องหรือไม่ ในระบบเศรษฐกิจแบบตลาดที่เป็นกระแสหลักมักจะพบว่าภาวะความขาดแคลนซึ่งเป็นปัจจัยหลักนั้นไม่ได้สะท้อนลงไปยังระดับราคา จึงอาจจะกล่าวได้ว่ามี ผลกระทบภายนอก ของต้นทุน ด้วยเหตุที่ระบบเศรษฐกิจแบบตลาดจะทำนายว่าสินค้าที่มีการขาดแคลนแต่มีราคาต่ำกว่าปกติ จะถูกบริโภคมากเกินพอดี (ให้ดู ต้นทุนทางสังคม) นี่จึงเป็นที่มาของทฤษฎี สินค้าสาธารณะ

2. เศรษฐศาสตร์มหภาค นั้นจะพิจารณาระบบเศรษฐกิจในภาพรวมเพื่ออธิบายอุปสงค์-อุปทานมวลรวมและความสัมพันธ์ในลักษณะ "บนลงล่าง" กล่าวคือ ใช้ทฤษฎีดุลยภาพทั่วไปอย่างง่ายในการอธิบาย[8] ไม่ว่าจะเป็น รายได้ประชาชาติ, ผลผลิตประชาชาติ, อัตราการว่างงาน, ภาวะเงินเฟ้อ ย่อยลงมาก็ได้แก่ การบริโภคโดยรวม, การลงทุนและองค์ประกอบของการลงทุน นอกจากนี้ เศรษฐศาสตร์มหภาคยังทำการศึกษาผลกระทบของนโยบายการเงินและนโยบายการคลัง
ในการจะอธิบายหัวข้อดังกล่าวนั้น จำเป็นต้องจำลองภาพระบบเศรษฐกิจระดับมหภาคในรูปแบบที่สามารถทำความเข้าใจได้ง่าย โดยใช้แบบจำลองทางเศรษฐศาสตร์มหภาค ซึ่งบรรยายตัวระบบโดยคร่าวๆ เพื่อประโยชน์ในการอภิปราย แบบจำลองดังกล่าวอาจมีรูปแบบแตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็น แผนภาพ, สมการ, การเปรียบเปรยในเชิงเทคนิค, ตารางเลออนเทียฟ เป็นต้น
นับตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1960 เป็นต้นมา เศรษฐศาสตร์มหภาคได้เริ่มผนวกเอาแนวคิดแบบจำลองเศรษฐศาสตร์จุลภาคเข้ามาใช้ ทั้งในแง่ของภาคการผลิต, รวมเอาความมีเหตุมีผลของตัวประกอบในระบบเศรษฐกิจ, การใช้ข้อมูลสารสนเทศอย่างมีประสิทธิภาพ และการแข่งขันแบบไม่สมบูรณ์[9] ซึ่งได้แก้ปมประเด็นที่เกี่ยวกับความแตกต่างระหว่างเศรษฐศาสตร์ทั้งสองแขนง
การวิเคราะห์ในด้านเศรษฐศาสตร์มหภาคนอกจากนี้ยังคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ ที่มีผลกระทบต่อระดับความเติบโตในระยะยาวของรายได้ประชาชาติ อันได้แก่ การสะสมทุน, การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี และการขยายตัวของกำลังแรงงาน[11]
ความเติบโตทางเศรษฐกิจ
เศรษฐศาสตร์ด้านความเติบโตทางเศรษฐกิจนั้นมุ่งเน้นศึกษาปัจจัยที่อธิบายความเติบโตทางเศรษฐกิจ หรือคือการเพิ่มขึ้นของผลผลิตต่อหัวของประเทศในระยะยาว ปัจจัยดังกล่าวก็ยังใช้ในการอธิบายความแตกต่างระหว่างระดับผลผลิตต่อหัวระหว่างประเทศอีกด้วย โดยเฉพาะว่าทำไมบางประเทศเติบโตได้รวดเร็วกว่าประเทศอื่นๆ หรือว่าบางกลุ่มประเทศมีแนวโน้มเติบโตเท่าทันกันหรือไม่ เป็นต้น
ปัจจัยที่มีการวิจัยศึกษาค่อนข้างมากก็ได้แก่ อัตราการลงทุน, การเติบโตของประชากร และการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี ทั้งหมดนี้มีปรากฏทั้งในรูปทฤษฎีและผลการศึกษาเชิงประจักษ์ ทั้งในแบบจำลองคลาสสิกใหม่, แบบจำลองการเติบโตภายใน (endogeneous growth) และในการบันทึกบัญชีการเติบโต (growth accounting)
วัฏจักรธุรกิจ
ในช่วงที่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจราวทศวรรษ 1930 นี้เองที่เป็นจุดกำเนิดให้กับเศรษฐศาสตร์มหภาคที่แตกแขนงออกไปเป็นศาสตร์เฉพาะทาง ระหว่างภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่นั้น จอห์น เมย์นาร์ด เคนส์ได้แต่งหนังสือที่ชื่อว่า ทฤษฎีทั่วไปของการจ้างงาน, ดอกเบี้ย และเงินตรา โดยวางรากฐานทฤษฎีหลักๆ ของเศรษฐศาสตร์แบบเคนส์ไว้ แต่ต่อมาก็มีทฤษฎีและแนวคิดทางเศรษฐศาสตร์มหภาคที่ถกเถียงและวิพากษ์วิจารณ์ข้อผิดพลาดในแบบจำลองดังกล่าว
เศรษฐศาสตร์สำนักคลาสสิกใหม่ใช้สมมติฐานว่าระดับราคาและค่าแรงนั้นปรับตัวโดยอัตโนมัติเพื่อเข้าสู่ภาวะการจ้างงานสมบูรณ์ ขณะที่เศรษฐศาสตร์แบบเคนส์ใหม่นั้นมองว่าการจ้างงานสมบูรณ์นั้นมีได้แต่ในระยะยาว ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีนโยบายรัฐและธนาคารกลางแทรกแซงเพราะว่า​ "ระยะยาว" ที่ว่าอาจจะยาวนานเกินไป
ภาวะเงินเฟ้อและนโยบายการเงิน
เงินตราเป็นสื่อกลางในการชำระหนี้สำหรับสินค้าในระบบเศรษฐกิจที่อิงราคาเป็นหลัก และยังเป็นหน่วยทางบัญชีที่มักไว้ใช้ระบุราคา โดยเงินตรารวมถึงสกุลเงินที่ถือครองโดยสาธารณะที่ไม่ใช่ธนาคารและเงินฝากที่ขึ้นเงินได้
เมื่อเงินตราเป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยนธุรกรรม เงินจึงช่วยให้การค้าดำเนินไปได้อย่างสะดวก หน้าที่ดังกล่าวสามารถนำมาเปรียบเทียบได้กับระบบแลกเปลี่ยนสินค้า (barter) ที่มีข้อเสียหลักคือการจับคู่ผู้ซื้อและผู้ขายที่มีความต้องการตรงกัน เพราะประเภทสินค้ามีหลากหลาย เงินตรานั้นช่วยลดต้นทุนธุรกรรมของการแลกเปลี่ยนลงเนื่องจากการยอมรับที่เป็นสากล
หากมองในระดับประเทศแล้ว ทฤษฎีและหลักฐานเชิงประจักษ์นั้นต่างลงความเห็นว่าปริมาณอุปทานเงินตราโดยรวมนั้นสัมพันธ์ในเชิงบวกกับมูลค่าที่เป็นตัวเงินของผลผลิตโดยรวมและระดับราคาโดยรวม ด้วยเหตุนี้ การจัดการอุปสงค์เงินตราจึงเป็นประเด็นหลักของนโยบายการเงิน
นโยบายการคลัง
การจัดทำบัญชีประชาชาติเป็นกรรมวิธีในการสรุปกิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ บัญชีประชาชาติมีลักษณะเป็นระบบการบัญชีแบบจดบันทึกคู่ (double-entry accounting system) ที่เจาะจงรายละเอียดวิธีที่ใช้วัดแต่ละรายการไว้อย่างละเอียด อันได้แก่ บัญชีรายได้และผลิตภัณฑ์ประชาชาติ ซึ่งระบุมูลค่าประเมินของรายได้และผลผลิตต่อไตรมาสหรือต่อปี
บัญชีรายได้และผลิตภัณฑ์ประชาชาติช่วยให้รัฐสามารถติดตามผลการดำเนินงานของระบบเศรษฐกิจและองค์ประกอบภายในวัฏจักรธุรกิจหรือติดตามข้ามช่วงเวลา ข้อมูลเกี่ยวกับราคาอาจช่วยให้สามารถแยกแยะมูลค่าที่เป็นตัวเงินออกจากมูลค่าที่แท้จริง (nominal vs. real) ได้ หรือคือการปรับฐานค่าเงินตามการเปลี่ยนแปลงระดับราคาตามระยะเวลาที่ผ่านไป บัญชีประชาชาติยังรวมเอาการวัดมูลค่าทุนสะสม, ความมั่งคั่งของประเทศ และกระแสทุนระหว่างประเทศอีกด้วย

อ้างอิง :  http://th.wikipedia.org

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น