สังคมไทยเป็นสังคมที่มีโครงสร้างทางสังคมเช่นเดียวกับโครงสร้างทางสังคมทั่วไปในเรื่องของกลุ่มสังคมและสถาบันสังคม
การที่สังคมไทยมีการเปลี่ยนแปลงมาโดยตลอด
ทั้งที่เป็นการเปลี่ยนแปลงแบบไม่มีแบบแผนและมีแบบแผนก่อให้เกิดทั้งผลดีและผลเสียขึ้นในสังคมไทย
ในแง่ของผลเสีย พบว่า
กระบวนการของความเปลี่ยนแปลงดังกล่าวก่อให้เกิดปัญหาในสังคมไทยมากมาย
จำเป็นอย่างยิ่งที่สมาชิกทุกคนในสังคมไทยต้องให้ความร่วมมือ ในการร่วมแก้ไขปัญหา
สังคมมนุษย์แม้ว่าจะมีขนาดของสังคมหรือลักษณะเฉพาะของสังคมแตกต่างกัน
แต่เมื่อกล่าวถึงโครงสร้างทางสังคมโดยทั่วไปหรือโครงสร้างพื้นฐานทางสังคมเบื้องต้นแล้ว
ทุกสังคมต่างมีองค์ประกอบสำคัญอยู่บนพื้นฐานสองประการที่สำคัญคือกลุ่มสังคมและสถาบันทางสังคม
การศึกษาในเรื่องโครงสร้างทางสังคมจะช่วยให้เข้าใจเกี่ยวกับสังคมในแง่มุมต่าง
ๆ ได้ดียิ่งขึ้น ซึ่ง โครงสร้างทางสังคมมีรายละเอียดที่เกี่ยวข้อง ดังนี้
ความหมายโครงสร้างทางสังคม
โครงสร้างทางสังคม หมายถึง ส่วนต่าง
ๆ ที่ประกอบกันเป็นระบบความสัมพันธ์ของสังคมมนุษย์
ส่วนประกอบดังกล่าวจะต้องเป็นเค้าโครงที่ปรากฏในสังคมมนุษย์ทุก ๆ สังคม
แม้ว่าจะมีรายละเอียดปลีกย่อยแตกต่างกันไปในแต่ละสังคมก็ตาม
โครงสร้างของสังคมไทย แบ่งออกเป็น 2
ส่วนคือ
1. สังคมชนบท (กลุ่มปฐมภูมิ)
2. สังคมเมือง (กลุ่มทุติยภูมิ)
โดยที่ประชากรส่วนใหญ่ของประเทศอาศัยอยู่ในชนบท
ซึ่งเป็นสังคมแบบประเพณีนำ และเป็นสังคมเกษตรกรรม
ดังนั้นถ้าหากรู้จักสังคมและวัฒนธรรมไทยจะต้องพิจารณาจากโครงสร้างสังคมชนบทเป็นหลัก
และ จะต้องพิจารณาถึงอิทธิพลของสังคมและวัฒนธรรม
เมืองที่มีต่อสังคมและวัฒนธรรมชนบทประกอบไปพร้อมๆกัน
- สังคมชนบท
จัดว่าเป็นโครงสร้างที่สำคัญที่สุดของสังคมไทย
เพราะเท่ากับเป็นโครงสร้างของสังคมไทยทั้งหมด สังคมชนบท ได้แก่
การร่วมกลุ่มแบบอรูปนัยของกลุ่มปฐมภูมิ มีการติดต่อกันแบบตัวถึงตัว
สภาพแวดล้อมของท้องถิ่นและวัฒนธรรมที่มีอยู่เดิมซึ่งคล้ายคลึงกัน ทำให้สถานภาพและบทบาทของคนในสังคมชนบทไม่แตกต่างกันมาก
มีการรวมตัวกันอย่างเหนียวแน่น
สมาชิกของสังคมทำหน้าที่สอดคล้องต่อเนื่องกันอย่างราบรื่น
และมีค่านิยมในเรื่องคุณความดีทางศาสนาเป็นตัวควบคุมความประพฤติทางสังคมของชนบทหรือที่เราเรียกกันว่าจารีตนั่นเอง
- สังคมเมือง
ข้อแตกต่างที่เด่นชัดระหว่างสังคมชนบทกับสังคมเมือง
ข้อแตกต่างที่เด่นชัดระหว่างสังคมชนบทกับสังคมเมือง
ได้แก่
จำนวนกลุ่มขององค์การที่มีมากในสังคมเมืองหลวง
หลักเกณฑ์การพิจารณาสถานภาพทางสังคมของบุคคลในเมืองหลวง ขึ้นกับฐานะทางเศรษฐกิจ
อำนาจและความเกี่ยวข้องทางการเมือง และระดับการศึกษาซึ่งผิดจากเกณฑ์ของสังคมชนบท
นอกจากนั้นแล้วโครงสร้างชนชั้นทางสังคมในเมืองหลวง
คือประกอบด้วยกลุ่มคนที่เป็นผู้สืบเชื้อสายมาจากตระกูลเก่าและขุนนาง
ค่านิยมของคนเมืองหลวงนั้นจะเน้นหนักเรื่องอำนาจและความมั่งคั่งมากกว่าชาวชนบท
มีความต้องการยกระดับตัวเอง จากชั้นสังคมเดิมไปสู่
ชั้นที่สูงกว่า โดยอาศัยปัจจัยหลายประการ
เช่น ฐานะทางการเงิน การศึกษา อำนาจทางการเมือง และสิทธิต่างๆ
โดยทั่วไปโครงสร้างทางสังคมโดยทั่วไป
มีลักษณะที่สำคัญ ดังนี้
1. มีการรวมกลุ่มของคนในสังคม
ซึ่งแต่ละกลุ่มที่รวมกันต่างมีหน้าที่รับผิดชอบและประสิทธิภาพในการ
ทำงานตามที่กลุ่มได้กำหนดเป้าหมายไว้
2.
มีแนวทางในการปฏิบัติอย่างเหมาะสมหรือมีกฎเกณฑ์ระเบียบแบบแผนเป็นแนวทางให้ยึดถือร่วมกัน
โดยยึดหลักประโยชน์สูงสุดของสังคม
3. มีจุดหมายในการปฏิบัติกิจกรรมต่าง
ๆ ที่ดีและมีความเหมาะสมที่จะนำมาใช้กับสังคมนั้น
4. มีการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงได้
กล่าวคือ
โครงสร้างของสังคมจะมีการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงทั้งในแง่ของการเพิ่มขึ้นหรือลดลง
ในหลายรูปแบบเช่นจำนวนคนอาจเพิ่มขึ้นหรือลดลงจากการเคลื่อนย้ายประชากรในสังคม หรือ
รูปแบบของความสัมพันธ์ของบุคคลภายในสังคมอาจมีการปรับเปลี่ยนไปตามสถานภาพที่ปรับเปลี่ยนไปหรือแม้แต่สภาพแวดล้อมต่าง
ๆ ภายในสังคม เป็นต้น
องค์ประกอบโครงสร้างทางสังคม
มีองค์ประกอบ 2 ส่วนที่สำคัญ ได้แก่
กลุ่มสังคม (Social Groups) และสถาบันสังคม
(Social Institutions)
1. กลุ่มสังคม
กลุ่มสังคม หมายถึง กลุ่มคนตั้งแต่ 2
คนขึ้นไปมีความรู้สึกเป็นสมาชิกร่วมกัน มีการกระทำระหว่างกันทางสังคม
เพื่อตอบสนองความต้องการของสมาชิกในกลุ่มสังคมนั้น ตามบทบาทและหน้าที่ของตนเอง
ลักษณะที่สำคัญของกลุ่มสังคม
1. มีการกระทำระหว่างกันทางสังคมหรือมีความสัมพันธ์ระหว่างกัน
(Social interaction) (=มีการปฏิบัติต่อกัน)
2.
สมาชิกในกลุ่มต่างมีตำแหน่งและบทบาทหน้าที่แตกต่างกันและประสานบทบาทระหว่างกันมีแบบแผนพฤติกรรมตามบรรทัดฐานของกลุ่ม
หรือที่เรียกว่า วัฒนธรรมย่อย (=มีวัฒนธรรมของกลุ่ม)
3. มีความรู้สึกเป็นสมาชิกร่วมกัน
ทำให้มีความผูกพันในฐานะที่เป็นสมาชิกของกลุ่มสังคมเดียวกัน (สนิทสนมรักใคร่กันตามระดับกลุ่ม)
4. มีวัตถุประสงค์ร่วมกันที่สำคัญ
คือ เพื่อสนองความต้องการของสมาชิกแต่ละคน
และความต้องการของสมาชิกของกลุ่มเป็นส่วนรวม (=มีภารกิจถาวรหรือเฉพาะกิจ)
2. สถาบันสังคม
สถาบันสังคม หมายถึง
รูปแบบพฤติกรรมของสมาชิกในสังคมเพื่อสนองความต้องการร่วมกันในด้านต่าง ๆ
และเพื่อการคงอยู่ของสังคมโดยรวม แบบแผนพฤติกรรมต่าง ๆ
เป็นไปตามบรรทัดฐานทางสังคมที่มีความชัดเจนแน่นอน และเป็นไปตามวัฒนธรรมของสังคม
ลักษณะสำคัญของสถาบัน
1) สถาบันสังคมเป็นนามธรรม
สถาบันสังคมไม่ใช่ตัวบุคคลหรือกลุ่มคน ไม่ใช่สิ่งของ
แต่เป็นแบบแผนพฤติกรรมซึ่งกำหนดขึ้นเพื่อเป็นแบบแผนในการปฏิบัติร่วมกันของสมาชิกทุกคน
2)
สถาบันสังคมเกิดจากการเชื่อมโยงบรรทัดฐานต่าง ๆ ทางสังคม ซึ่งได้แก่ วิถีชาวบ้าน
จารีต และกฎหมาย โดยเป็นส่วนของวัฒนธรรมในสังคม
3)
สถาบันสังคมเกิดขึ้นเพื่อสนองความต้องการในด้านต่าง ๆ ร่วมกันของสมาชิกในสังคม
และเพื่อการคงอยู่ของสังคม
4)
สถาบันสังคมเกิดจากการยอมรับร่วมกันของสมาชิกในสังคม สถาบันสังคมจึงเป็นระเบียบแบแผน
พฤติกรรมที่ชัดเจนและเปลี่ยนแปลงได้ยากเนื่องจากเกิดขึ้นโดยการยอมรับร่วมกันของสมาชิกในสังคม
องค์ประกอบของสถาบันของสังคม
1) กลุ่มสังคม
สถาบันสังคมประกอบไปด้วยกลุ่มสังคมต่าง ๆ
ที่ทำหน้าที่สนับสนุนให้การกระทำระหว่างสมาชิกบรรลุวัตถุประสงค์ร่วมกัน
โดยประกอบด้วยสถานภาพหรือตำแหน่งทางสังคม และบทบาทหน้าที่
เพื่อให้แบบแผนพฤติกรรมดำเนินไปสู่วัตถุประสงค์ของกลุ่มสังคมนั้น
2) หน้าที่ของสถาบันทางสังคม หมายถึง
วัตถุประสงค์ในการสนองความต้องการของสังคมในด้านต่างๆ ของสถาบันสังคมแต่ละสถาบัน
3)
แบบแผนพฤติกรรมในการประพฤติปฏิบัติตนของสมาชิก
เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของสถาบันนั้น ได้แก่ บรรทัดฐานทางสังคม
ซึ่งประกอบไปด้วยวิถีชีวิต ทำให้กิจกรรมในการดำเนินชีวิตของสมาชิกในสังคมสามารถสนองวัตถุประสงค์ของสถาบันสังคมนั้น
4) สัญลักษณ์ และค่านิยม
ทำให้สมาชิกเกิดอุดมการณ์และศรัทธาต่อสถาบันสังคม เช่น ธงชาติ
เป็นสัญลักษณ์ของสถาบันการเมืองการปกครอง เสรีภาพและความเสมอภาค
เป็นค่านิยมของสถาบันการเมืองการปกครองในสังคมประชาธิปไตย เป็นต้น
สถาบันสังคมที่สำคัญ สถาบันสังคม
แยกได้ 5 สถาบัน ดังนี้
1. สถาบันสังคม หมายถึง
สถาบันสังคมซึ่งเกี่ยวข้องกับแบบแผนการสมรส การอบรมเลี้ยงดูบุตร
และแบบแผนความสัมพันธ์ระหว่างเพศ ซึ่งเป็นที่ยอมรับว่าถูกต้องตามสังคม
1. สถาบันครอบครัว มีองค์ประกอบ
ดังนี้
กลุ่มสังคมในสถาบันครอบครัว ได้แก่
ครอบครัวซึ่งประกอบด้วยสมาชิกที่อาศัยอยู่ในครัวเรือนเดียวกัน เช่น บิดา มารดา
บุตร วงศาคณาญาติที่เกี่ยวข้องโดยสายโลหิต หรือการสมรส หรือมีบุตรบุญธรรม
หน้าที่ของสถาบันครอบครัว
1. หน้าที่ผลิตสมาชิกใหม่ให้แก่สังคม
เพื่อทดแทนสมาชิกของสังคมที่สิ้นชีวิตลง
2.
หน้าที่เลี้ยงดูสมาชิกใหม่ให้มีชีวิตรอด
เนื่องจากทารกแรกเกิดและเด็กไม่สามารถดูแลตนเองได้
3.
หน้าที่ถ่ายทอดวัฒนธรรมของสังคมไปสู่สมาชิกใหม่
ซึ่งเป็นกระบวนการขัดเกลาทางสังคมเพื่อให้เด็กเติบโตเป็นสมาชิกที่ดีของสังคม
4. หน้าที่อื่น ๆ ได้แก่
การสนองความต้องการทางจิตใจ ทำหน้าที่ให้ความรักความอบอุ่นสมาชิก
แบบแผนพฤติกรรมในการประพฤติปฏิบัติตนของสมาชิก
สถาบันครอบครัวประกอบไปด้วยแบบแผนพฤติกรรมซึ่งเป็นบรรทัดฐานทางสังคม เช่น
ประเพณีการหมั้น สมรส เป็นต้น สถาบันครอบครัวในสังคมแต่ละแห่งย่อมมีแบบแผนพฤติกรรมแตกต่างกันไปตามวัฒนธรรมของสังคม
เช่นมีประเพณีการสมรสแตกต่างกันไป เป็นต้น
สัญลักษณ์และค่านิยม
สัญลักษณ์ของสถาบันครอบครัวที่สำคัญ คือ แหวนหมั้น แหวนแต่งงาน เป็นต้น
สถาบันครอบครัวในแต่ละสังคมย่อมมีค่านิยมต่างกันตามวัฒนธรรมของสังคม เช่น
สังคมสมัยใหม่ สามีและภรรยามีค่านิยมในการหาเลี้ยงครอบครัวเท่าเทียมกัน
การร่วมรับผิดชอบกิจกรรมต่าง ๆ ในครอบครัวอย่างเท่าเทียมกัน
2. สถาบันการศึกษา หมายถึง
สถาบันสังคมซึ่งเกี่ยวข้องกับแบบแผนการขัดเกลาและการถ่ายทอดวัฒนธรรม การให้ความรู้
และการฝึกทักษะอาชีพ เพื่อความเป็นสมาชิกที่เหมาะสมของสังคม
กลุ่มสังคมในสถาบันการศึกษา ได้แก่
โรงเรียน มหาวิทยาลัย กระทรวง ทบวง กรม ที่ทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับการศึกษา
กลุ่มสังคมเหล่านี้จะประกอบไปด้วยตำแหน่ง หรือสถานภาพทางสังคม เช่น ครู อาจารย์
เป็นต้น
หน้าที่ของสถาบันการศึกษา
1. ถ่ายทอดความรู้ วัฒนธรรม และทักษะ
อันจำเป็นในการดำรงชีพของสมาชิกในสังคม
2.
สร้างบุคลิกภาพทางสังคมให้แก่สมาชิก
สามารถปรับตนในการติดต่อสัมพันธ์กับบุคคลอื่นและปฏิบัติตนให้มีคุณค่าแก่สังคม
3. การกำหนดสถานภาพทางสังคม
และชนชั้นทางสังคมสถานภาพจากสถาบันการศึกษา
เป็นส่วนประกอบสำคัญประการหนึ่งในการจัดช่วงชั้นทางสังคม
4.
หน้าที่ในการผลิตกำลังแรงงานทางเศรษฐกิจ ตามความต้องการทางสังคม
5.
หน้าที่ในการสร้างกลุ่มเพื่อนเป็นหน้าที่แฝงของสถาบันการศึกษา
ซึ่งก่อให้เกิดการรวมกลุ่มเพื่อนเพื่อสนองความต้องการทางจิตใจของสมาชิกในสังคม
แบบแผนพฤติกรรมในการประพฤติปฏิบัติตนของสมาชิก
สถาบันการศึกษาประกอบไปด้วยแบบแผนพฤติกรรมต่าง ๆ เพื่อสนองต่อหน้าที่ต่าง ๆ
ของสถาบันดังที่กล่าวมาแล้ว เช่นการจัดระบบการเรียนการสอน เป็นต้น
แบบแผนพฤติกรรมดังกล่าวมีการเปลี่ยนแปลงปรับปรุงให้เหมาะสมแก่ความต้องการของสังคมปัจจุบัน
สัญลักษณ์และค่านิยม
สัญลักษณ์ของสถาบันการศึกษา มักปรากฏในองค์การทางการศึกษาต่าง ๆ เช่น
เข็มเครื่องหมายของโรงเรียน เป็นต้น
แต่ละสังคมย่อมมีปรัชญาและค่านิยมทางการศึกษาต่างกัน
3. สถาบันศาสนา หมายถึง
สถาบันที่ทำหน้าที่ช่วยสนองความต้องการด้านเสริมกำลังใจให้แก่สมาชิกในสังคมเพื่อให้ใช้ชีวิตอยู่ในสังคมด้วยความปกติสุขโดยปฏิบัติตามคติความเชื่อ
กลุ่มสังคมในสถาบันศาสนา
ที่สำคัญได้แก่ คณะสงฆ์ และกลุ่มผู้ปฏิบัติธรรม
โดยมีตำแหน่งหรือสถานภาพทางสังคมต่างๆ กัน ต่างมีบทบาทหน้าที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กันตามสถานภาพทางสังคมดังกล่าว
หน้าที่ของสถาบันศาสนา
1. สร้างความเป็นปึกแผ่นให้แก่สังคม
2.
สร้างเสริมและถ่ายทอดวัฒนธรรมแก่สังคม
3.
ควบคุมสมาชิกให้ปฏิบัติตามบรรทัดฐานของสังคม
4.
สนองความต้องการทางจิตใจแก่สมาชิกเมื่อสมาชิกเผชิญกับปัญหาต่าง ๆ
แบบแผนพฤติกรรมในการประพฤติปฏิบัติตนของสมาชิก
โดยทั่วไปแบบแผนพฤติกรรมในการปฏิบัติของสมาชิกในสังคม
ย่อมเป็นไปตามหลักธรรมของศาสนาที่ตนนับถือ และเป็นไปตามประเพณีทางศาสนานั้น ๆ
กิจกรรมของประเพณีทางศาสนามีความสำคัญในการสร้างความรู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของสมาชิกในสังคม
สัญลักษณ์และค่านิยม
สัญลักษณ์ของสถาบันศาสนาย่อมแตกต่างกันไปตามศาสนาที่สมาชิกยอมรับนับถือ
สำหรับค่านิยมของสถาบันศาสนาย่อมแตกต่างกันไปตามหลักของศาสนานั้น ๆ
4. สถาบันเศรษฐกิจ หมายถึง
สถาบันสังคมที่เกี่ยวข้องกับแบบแผนการสนองความต้องการเกี่ยวกับความจำเป็นทางวัตถุ
เพื่อการดำรงชีวิต เป็นแบบแผนพฤติกรรมทางสังคมที่เกี่ยวข้องกับ
การผลิตการกระจายสินค้าและบริการไปสู่ผู้บริโภค ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิต
กลุ่มสังคมในสถาบันเศรษฐกิจ
กลุ่มสังคมในสถาบันเศรษฐกิจมีจำนวนมาก เช่น ร้านค้า โรงงานและองค์กรเศรษฐกิจต่าง ๆ
แต่ละกลุ่มสังคมเหล่านี้ประกอบไปด้วยตำแหน่งและบทบาทหน้าที่ต่าง ๆ
ซึ่งเกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน เช่น ผู้จัดการ พนักงาน กรรมกร เกษตรกร เป็นต้น
เพื่อกระทำบทบาทและหน้าที่ดังกล่า
หน้าที่ของสถาบันเศรษฐกิจ
1. ผลิตสินค้า
เพื่อสนองความต้องการของสมาชิกในสังคม
ซึ่งประกอบไปด้วยสินค้าพื้นฐานจนถึงสินค้าอำนวยความสะดวก
2.
การกระจายสินค้าที่ผลิตได้ไปสู่สมาชิกในสังคมอย่างทั่วถึง
3. การกระจายบริการต่าง ๆ
ไปสู่สมาชิกในสังคม
4.
การกำหนดสถานภาพทางสังคมและชนชั้นทางสังคม
5.
สถาบันทางเศรษฐกิจก่อให้เกิดหน้าที่สำคัญ คือ เป็นพื้นฐานอำนาจทางการเมือง
แบบแผนพฤติกรรมในการประพฤติปฏิบัติตนของสมาชิก
สถาบันเศรษฐกิจประกอบด้วยแบบแผนพฤติกรรมที่มีความสำคัญในการดำรงชีวิตร่วมกันของสมาชิกในสังคม
เช่น แบบแผนในการผลิตสินค้า แบบแผนของการประกอบอาชีพต่าง ๆ เช่น
อาชีพเกษตรกรรมและอาชีพอุตสาหกรรมมีแบบแผนการประกอบอาชีพต่างกัน
สัญลักษณ์และค่านิยม
ส่วนใหญ่เป็นสัญลักษณ์ขององค์การของสถาบันเศรษฐกิจนั้น ๆ เช่น
เครื่องหมายทางการค้า
สำหรับค่านิยมและความเชื่อเกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจย่อมแตกต่างกันไปตามวัฒนธรรมของแต่ละสังคม
5. สถาบันทางการเมืองการปกครอง
หมายถึง
สถาบันสังคมที่เป็นแบบแผนที่เกี่ยวข้องกับการสนองความต้องการของสมาชิกในการดำรงชีวิตตามกฎระเบียบของสังคม
ควบคุมให้กลุ่มคนอยู่ในสังคมอย่างสงบสุข
กลุ่มสังคมในสถาบันการเมืองการปกครอง
ประกอบด้วยกลุ่มสังคมต่าง ๆ ที่สำคัญ คือ
กลุ่มสังคมที่มีการจัดระเบียบอย่างชัดแจ้ง ที่เรียกว่า องค์การ เช่น พรรคการเมือง
กระทรวง ทบวง กรม เป็นต้น แต่ละองค์การประกอบด้วยตำแหน่งหรือสถานภาพทางสังคม
เพื่อกระทำบทบาทและหน้าที่ตามสถานภาพนั้น
องค์กรของสถาบันการเมืองที่สำคัญ
มีดังนี้
1. ฝ่ายนิติบัญญัติ คือ
องค์กรที่ทำหน้าที่ออกกฎหมาย
2. ฝ่ายบริหาร คือ
องค์กรที่ทำหน้าที่ในการบริหารและการบริการให้แก่สมาชิกโดยส่วนรวม
3. ฝ่ายตุลาการ คือ
องค์การที่ทำหน้าที่ตีความกฎหมายในกรณีที่สมาชิกในสังคมเกิดความขัดแย้งระหว่างกัน
4. ฝ่ายองค์กรอิสระ คือ องค์กรที่ประกอบด้วยคณะบุคคลที่ตั้งขึ้นด้วยวิธีปลอดจากอำนาจอิทธิพลของบุคคลที่มีส่วนอาจได้เสียกับกิจการอันเป็นหน้าที่ขององค์กรอิสระนั้น
โดยเฉพาะอำนาจของข้าราชการเมืองและข้าราชการประจำ
หน้าที่ของสถาบันการเมืองการปกครอง
1. สร้างระเบียบกฎเกณฑ์ให้แก่สังคม
เช่น สถาบันเศรษฐกิจย่อมจะต้องมีกฎเกณฑ์เกี่ยวกับการเงิน
2.
วินิจฉัยข้อขัดแย้งระหว่างสมาชิกในสังคม
มีองค์การทางตุลาการคอยให้ความยุติธรรมแก่สมาชิกที่มีความขัดแย้งต่อกัน
3.
หน้าที่ในการบริหารองค์การของรัฐบาลกลางและรัฐบาลท้องถิ่น
4.
การป้องกันและรักษาความปลอดภัยทั้งภายในสังคมและจากภายนอกสังค
ลักษณะโดยทั่วไปของสถาบัน
- สถาบันเป็นนามธรรม
-
สถาบันแต่ละสถาบันเกิดจากการรวมหน้าที่ด้านเดียวกันไว้รวมกัน
- เปลี่ยนแปลงได้ยาก
การจัดระเบียบทางสังคม
สังคมเป็นที่รวมของบุคคลตั้งแต่ 2
คนขึ้นไป
เมื่อมีการรวมกลุ่มของกลุ่มบุคคลเพิ่มมากขึ้นสังคมก็ยิ่งมีความแตกต่างในหลายๆ
ด้านเกิดขึ้นความแตกต่างดังกล่าว
หากมีการควบคุมและจัดระเบียบของกลุ่มและในสังคมที่ไม่ถูกต้องเหมาะสมแล้ว
สังคมก็อาจสับสนวุ่นวายขึ้นได้
บรรทัดฐาน
บรรทัดฐานทางสังคม หมายถึง ระเบียบ
กฎเกณฑ์
หรือแบบแผนของพฤติกรรมที่สังคมยอมรับเป็นแนวทางให้สมาชิกประพฤติปฏิบัติในแต่ละสถานการณ์
สรุปได้ว่า...
1. บรรทัดฐานทางสังคม เป็นระเบียบ
กฎเกณฑ์ หรือแบบแผนของพฤติกรรมที่สมาชิกในสังคมยอมรับร่วมกัน และได้ประพฤติสืบต่อกันมา
2. บรรทัดฐานทางสังคมเป็นระเบียบ
กล่าวคือ
แบบแผนความประพฤติที่เห็นว่าถูกต้องในสถานการณ์หนึ่งอาจนำไปใช้ในอีกสถานการณ์หนึ่งไม่ได้
ประเภทของบรรทัดฐานทางสังคม
1. วิถีประชา/วิถีชาวบ้าน (Folkways) หมายถึง
แบบแผนความประพฤติที่สมาชิกปฏิบัติด้วยความเคยชิน
เนื่องจากได้รับการปลูกฝังถ่ายทอดมาตั้งแต่วัยเด็กจนเติบใหญ่
แม้ว่าจะไม่มีการกำหนดโทษผู้ที่ละเมิดฝ่าฝืนอย่างเข้มงวด แต่อาจถูกคนอื่นเยาะเย้ย
ถากถาง หรือได้รับการนินทา ทำให้สมาชิกต้องปฏิบัติตามวิถีชาวบ้าน
จนเกิดความเป็นระเบียบทางสังคมในที่สุด
2. จารีต (Mores) หมายถึง
แบบแผนความประพฤติที่สมาชิกปฏิบัติในสถานการณ์ต่าง ๆ
โดยผู้ที่ละเมิดฝ่าฝืนจะได้รับการต่อต้านจากสมาชิกในสังคมอย่างจริงจัง
เนื่องจากมีผลกระทบต่อระบบสัมพันธ์ของสมาชิกเป็นส่วนรวม
3. กฎหมาย (Laws) หมายถึง
กฎเกณฑ์ของความประพฤติซึ่งสร้างขึ้นโดยองค์การทางการเมืองการปกครอง
และโดยได้รับการรับรองจากองค์กรของรัฐ
กฎหมายเป็นกฎเกณฑ์ความประพฤติที่มีลักษณะสำคัญ
ดังนี้
1)
เป็นกฎเกณฑ์การประพฤติปฏิบัติของสมาชิกในสังคมที่บัญญัติเป็นทางการโดยองค์การของรัฐที่มีอำนาจหน้าที่ในการบัญญัติกฎหมาย
2) มีการประกาศรายละเอียดของกฎหมายเป็นลายลักษณ์อักษร
3)
มีองค์การที่หน้าที่ควบคุมให้สมาชิกปฏิบัติตามกฎหมาย
4)
มีบทลงโทษผู้ที่ละเมิดฝ่าฝืนกฎหมาย
สถานภาพ
สถานภาพ (Status) : ตำแหน่งที่ได้รับจากการเป็นสมาชิกของสังคมหรือฐานะทางสังคม
(Social Position) ของคนในสังคมที่ถูกกำหนดไว้และดำรงอยู่
สถานภาพทางสังคม หมายถึง
ตำแหน่งของบุคคลซึ่งได้มาจากการเป็นสมาชิกของกลุ่มและของสังคม
ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่สำคัญในการจัดระเบียบสังคม
เนื่องจากการกระทำระหว่างสมาชิกในสังคมย่อมเป็นไปตามสถานภาพที่ตนดำรงอยู่
ประเภทของสถานภาพทางสังคม
1) สถานภาพทางสังคมโดยกำเนิด (Ascribed Status) เป็นสถานภาพทางสังคมที่สมาชิกได้รับโดยกำเนิด
ที่สำคัญได้แก่ เชื้อชาติ สัญชาติ เพศ (ชายหรือหญิง)
อายุและสถานภาพอันเกิดจากการเป็นสมาชิกในครอบครัว
เหล่านี้นับเป็นสถานภาพโดยกำเนิดทั้งสิ้น
2)
สถานภาพทางสังคมโดยความสามารถของบุคคล (Achieved Status)
เป็นสถานภาพทางสังคมที่เกิดจากการกำหนดคุณสมบัติของผู้ที่จะได้รับสถานภาพโดยถือความสามารถตามเกณฑ์ที่สังคมกำหนด
3) ผลอันเกิดจากสถานภาพทางสังคม
มีดังนี้
(1) ทำให้เกิดสิทธิและหน้าที่
(2)
ทำให้เกิดเกียรติยศจากสถานภาพทางสังคมที่สมาชิกดำรงอยู่
(3) ทำให้เกิดการจัดช่วงชั้นทางสังคม
บทบาท
บทบาท (Role) : หน้าที่/พฤติกรรมที่ปฏิบัติตามสถานภาพที่ได้รับ
การปฏิบัติบทบาทตามสถานภาพที่เหมาะสมและถูกต้องทำให้ความสัมพันธ์ทางสังคมดำเนินไปได้ด้วยดี
บทบาททางสังคม
1.
บทบาททางสังคมเป็นการกระทำตามสิทธิและหน้าที่ตามที่กำหนดในสถานภาพทางสังคม
บทบาทและสถานภาพทางสังคมจะทำให้การกระทำระหว่างกันทางสังคมของสมาชิกดำเนินไปอย่างสอดคล้องกลมกลืน
และช่วยให้การดำรงชีวิตร่วมกันในสังคมมีความราบรื่น
2. ความสำคัญของบทบาททางสังคม
บทบาททางสังคมก่อให้เกิดการกระทำตามสิทธิและหน้าที่ของสมาชิกในสังคมตามสถานภาพที่ตนดำรงอยู่
ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนการรับและการให้ประโยชน์ระหว่างกัน
หากปราศจากการกำหนดบทบาททางสังคม
รูปแบบความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกในสังคมคงจะขาดระเบียบแลปราศจากทิศทางแน่นอน
บทบาทขัดกัน
สมาชิกในสังคมแต่ละคนมีบทบาทหลายอย่างในเวลาเดียวกัน
และการในกระทำอีกบทบาทหนึ่งอาจจะขัดกับอีกบทบาทหนึ่งก็ได้
การขัดกันในบทบาทย่อมเกิดขึ้นได้เสมอ สมาชิกในสังคมต้องตัดสินใจ
ตามวาระและโอกาสที่เกิดขึ้น
ค่านิยม
ค่านิยม (Social Value) : สิ่งที่สังคมส่วนใหญ่ยอมรับและเห็นว่ามีคุณค่า
เพราะว่าเป็นความสัมพันธ์ที่สังคมยอมรับ หรือเราอาจจะเรียกว่า “กระแสทางสังคม” ก็ได้
ค่านิยมมีทั้งของบุคคล และ ค่านิยมของสังคม
ค่านิยมของสังคม
ค่านิยมของสังคม บางทีเรียกว่า
(ระบบคุณค่าของสังคม) หรือ (สัญญาประชาคม)
ค่านิยมของสังคม
เป็นหัวใจหรือเป้าหมายที่สังคมปรารถนาที่จะให้เกิดขึ้น เช่น เสรีภาพ ความรักชาติ
ความดี ความยุติธรรม
การขัดเกลาทางสังคม
การขัดเกลาทางสังคม (Socialization) หมายถึง
การถ่ายทอดวัฒนธรรมแก่สมาชิกวิธีการขัดเกลาทางสังคม
การขัดเกลาทางสังคม คือ
การปลูกฝังระเบียบวินัย ความมุ่งหวังให้รู้จักบทบาทและทัศนคติ ความชำนาญหรือทักษะ
ทั้งนี้ เพื่อให้สมาชิกอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้ด้วยดี
การขัดเกลาทางสังคมช่วยให้สมาชิกได้เรียนรู้ และปฏิบัติตามบรรทัดฐานของสังคม
การอบรมสั่งสอนของพ่อแม่ ครูอาจารย์ เพื่อนฝูง เพื่อนร่วมอาชีพหรือสื่อมวลชนต่าง ๆ
เหล่านี้จะทำให้การกระทำต่อผู้อื่นเป็นไปอย่างเหมาะสมรู้จักปฏิบัติตนในฐานะสมาชิกที่ดีของสังคม
ซึ่งจะช่วยให้สังคมมีระเบียบเพิ่มขึ้น
การควบคุมทางสังคม (Social Control)
เป็นกระบวนการทางสังคมในการจัดระเบียบพฤติกรรมมนุษย์/สมาชิกในสังคมให้สอดคล้องกับเป้าหมายที่ตั้งไว้
รวมทั้งการไร้ระเบียบทางสังคม (Social
Disorganization) นอกจากนี้ยังต้องรู้อีกหลายๆ เรื่อง เช่น ปรากฏการณ์ทางสังคม (Social Phenomena) ว่ามีความเป็นมาอย่างไร หรือการเปลี่ยนแปลงทางสังคม
(Social Change) ว่าจะมีแนวโน้มเป็นไปในทางใดและอะไรเป็นปัจจัยผลักดันเป็นต้น
และที่สำคัญที่สุดของสังคมได้แก่ วัฒนธรรม=ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่ในสังคม
อันเป็นแบบแผนของพฤติกรรมที่สังคมยอมรับและสืบทอดกันต่อๆ มา
อ้างอิง : https://sites.google.com
อ้างอิง : https://sites.google.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น