วันจันทร์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

สัตว์สังคมและธรรมชาติของมนุษย์

สัตว์สังคมและธรรมชาติของมนุษย์

ความหมายของสัตว์สังคม
            สัตว์สังคม  คือ  สัตว์ที่โดยธรรมชาติแล้วต้องอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม  มีความสัมพันธ์  อาศัยพึ่งพากัน  เช่น  มด  ปลวก  ลิง  ช้าง  และมนุษย์  เป็นต้น
            มนุษย์เป็นสัตว์สังคมประเภทเลี้ยงลูกด้วยนมที่มีลักษณะพิเศษเหนือกว่าสัตว์อื่น ๆ จนได้ชื่อว่ามนุษย์  แปลว่า “ ผู้ฉลาด  ผู้รู้คิด ”  ภาษาอังกฤษใช้คำว่า  HUMAN  หมายถึง  ผู้มีวัฒนธรรม  ในทางสังคมวิทยาถือว่ามนุษย์เกิดขึ้นพร้อมกับสังคม  หรือสังคมมนุษย์  มนุษย์กับสังคมจึงเป็นสิ่งเดียวกันแยกจากกันไม่ออก


        อริสโตเติล นักปราชญ์ชาวกรีก  กล่าวว่า “มนุษย์เป็นสัตว์สังคม” หมายความว่า  โดยธรรมชาติแล้วมนุษย์ไม่สามารถอยู่ลำพังเพียงคนเดียวได้ต้องอาศัยรวมกันอยู่เป็นหมู่เหล่า  ติดต่อสัมพันธ์กันพึ่งพาอาศัยและอยู่ภายใต้ระเบียบกฎเกณฑ์เดียวกัน มนุษย์ได้รวมตัวกันสร้างวัฒนธรรมขึ้น  เพื่อเปลี่ยนแปลงตัวเองจากด้านที่เป็นสัตว์เดรัจฉาน (animal side)  มาเป็นด้านที่เป็นมนุษย์(human side)  มนุษย์จึงต้องมีการเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา เพราะวัฒนธรรมเกิดจากการเรียนรู้ ไม่ได้เกิดขึ้นเองแบบสัญชาตญาณสัตว์การเรียนรู้ของมนุษย์จึงไม่มีที่สิ้นสุด

  

มนุษย์สมัยดึกดำบรรพ์มีการรวมกลุ่มกันหากินด้วยการล่าสัตว์และเก็บผักกินเป็นอาหาร

มูลเหตุที่มนุษย์ต้องมาอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่มสังคม มนุษย์เป็นสัตว์สังคมจำพวกหนึ่งที่ต้องอาศัยอยู่ร่วมกันด้วยเหตุผล  ดังนี้                
          1.  มนุษย์เป็นสัตว์สังคมที่เลี้ยงลูกด้วยนม  ที่ต้องพึ่งพาอาศัยผู้ที่เกิดก่อนเลี้ยงดูและถ่ายทอดวัฒนธรรม 
           2.  เพื่อสนองตอบความต้องการขั้นพื้นฐานของมนุษย์ 
           3.  มนุษย์ต้องการรับ  และถ่ายทอดวัฒนธรรมระหว่างสมาชิก  เพื่อให้มีความเป็นมนุษย์อย่างสมบูรณ์
           4. เพื่อร่วมมือและแบ่งงานกันทำตามความชำนาญ  ทำให้มีการพึ่งพา  และร่วมมือในการดำเนินชีวิตร่วมกัน

                                   มนุษย์เป็นสัตว์สังคมจำพวกหนึ่งที่ดำรงชีวิตอยู่รวมกัน
                                   เป็นกลุ่ม  และมีการกระทำระหว่างกันทางสังคม

ความต้องการขั้นพื้นฐานของมนุษย์ 
         มนุษย์มีความต้องการพื้นฐานหรือความต้องการจำเป็นในสิ่งต่าง ๆ ที่ทำให้มนุษย์สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้มากมายหลายสิ่ง และมีความต้องการเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ไม่มีสิ้นสุดซึ่งสามารถแบ่งความต้องการออกได้  4  ด้าน  คือ 
        1.  ความต้องการด้านชีวภาพ คือ ความต้องการสิ่งที่จำเป็นแก่การมีชีวิตอยู่รอดของมนุษย์และส่วนใหญ่คล้ายคลึงกับสัตว์อื่น ๆ เช่น  อาหาร  อากาศ  ยารักษาโรค น้ำ  การขับถ่าย  และ
ความต้องการทางเพศ
        2.  ความต้องการด้านกายภาพ คือ ความต้องการที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์  ทำให้มนุษย์มีความสะดวกสบายมากขึ้น  เช่น สิ่งประดิษฐ์ต่าง ๆ เครื่องมือเครื่องใช้  อุปกรณ์ต่าง ๆ
        3.  ความต้องการด้านจิตวิทยา คือ ความต้องการที่เกี่ยวกับจิตใจ  เช่น  ต้องการความรัก การปลอบใจเมื่อมีทุกข์หรือผิดหวัง ต้องการความรู้ ความสำเร็จ ความชื่นชมยินดี เป็นต้น
        4. ความต้องการด้านสังคม คือ ความต้องการเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับผู้อื่น ต้องการเพื่อนคู่คิด   ต้องการรับและถ่ายทอดวัฒนธรรม 
        ความต้องการทั้ง  4  ประการ  จะบรรลุโดยการที่มนุษย์ดำรงชีวิตอยู่ร่วมกันในสังคมพึ่งพา
อาศัยซึ่งกันและกัน  ปฏิบัติตามบทบาทหน้าที่ของตนจึงจะได้รับการตอบสนองครบทั้ง 4  ด้าน

ธรรมชาติของมนุษย์ 
      มนุษย์มีลักษณะประจำตัวหลายอย่าง  บางอย่างก็เหมือนกับสัตว์สังคมอื่น ๆ และบางอย่างก็เป็นลักษณะเฉพาะของมนุษย์ ที่สัตว์ประเภทอื่นไม่มี  ได้แก่

ธรรมชาติของมนุษย์ที่เหมือนกับสัตว์อื่น  มีดังนี้
1.  ต้องการอาหาร  น้ำ  และอากาศ
2.  ต้องอาศัยพึ่งพาสิ่งแวดล้อมทั้งทางธรรมชาติและชีวภาพเพื่อบำบัดความต้องการ
3.  มีความสามารถในการสืบพันธุ์                                      
4.  มีหน้าตาคล้ายผู้ให้กำเนิด  เช่น  พ่อ  แม่  หรือบรรพบุรุษ
5.  เมื่อหิวมนุษย์และสัตว์ต้องแสวงหาให้ได้มาซึ่งอาหาร
6.  มนุษย์และสัตว์มีความสามารถในการปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ

  
                                          
             ความสามารถในการสืบพันธุ์ซึ่งเป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่เหมือนกับสัตว์อื่นก่อให้เกิดสถาบันพื้นฐานแรกสุดของสังคม  คือ  ครอบครัว

ธรรมชาติของมนุษย์ที่แตกต่างจากสัตว์อื่น  มีดังนี้ 
            1.  มนุษย์มีร่างกายตั้งตรง (ตั้งฉาก) กับพื้นโลกในขณะที่สัตว์อื่น ๆ ที่เรามักเรียกว่า
“เดรัจฉาน”  แปลว่าผู้มีร่างกายโดยขวาง  เช่น  ม้า  หมา  แมว  นก  ไก่  ปลา  จะมีร่างกาย  (ลำตัว) ตามขวาง (เปรียบเทียบกับตั้งตรง) หรือขนานกับพื้นโลก  การที่มนุษย์มีร่างกายตั้งตรงกับพื้นโลกทำให้เกิดความแตกต่างจากสัตว์เดรัจฉานอื่น ๆ  คือ
                   ก.  ช่วยให้มนุษย์สามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้รอบตัวเอง  และเป็นไปอย่างรวดเร็ว
                   ข.  ช่วยให้แขนและมือเป็นอิสระ  โดยไม่ต้องช่วยในการเคลื่อนไหวร่างกาย  ประกอบกับลักษณะและคุณภาพของนิ้วมือที่ไม่ติดกัน  นิ้วงอได้  กระดิกได้  มีนิ้วหัวแม่มืออยู่ในทิศที่ตรงกันข้ามกับนิ้วอื่น ๆ ทำให้การใช้แขนและมือเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
                   ค.  ช่วยให้มนุษย์ใช้ปากในการพูด  ประกอบกับคางที่ยื่นออกมา  ทำให้มีขากรรไกรกว้าง
ช่วยในการออกเสียงคำต่าง ๆ ชัดเจน  เกิดภาษาพูดอันละเอียดอ่อน  และหลากหลาย   
( สัตว์อื่นก็มีภาษาพูด  แต่ภาษาสัตว์มีน้อยไม่ละเมียดละไมเหมือนภาษาพูดของมนุษย์ )
             2.  ความได้เปรียบในตำแหน่งของดวงตา  มนุษย์มีดวงตาคู่อยู่ด้านหน้าของกะโหลกศีรษะ   ประกอบกับร่างกายตั้งตรง  ช่วยให้มีความสามารถในการมองเห็นได้ดี
             3.  มองใหญ่  และมีระบบประสาทที่สลับซับซ้อนกว่าสัตว์อื่น โดยเปรียบเทียบกับหนักตัวที่เท่า ๆ กันทำให้ประสิทธิภาพของการทำงานของสมองมนุษย์  ดีกว่า  ฉลาดกว่า  มีเชาว์ปัญญาสูงกว่าสัตว์อื่น
              4.  มีความต้องการทางเพศไม่จำกัดฤดูกาลทำให้สามารถ  หรือจำเป็นในการควบคุมจำนวนประชากรได้  และเกิดการวางระเบียบแบบแผนเกี่ยวกับครอบครัวขึ้น
              5.  มีระยะเวลาของการเป็นทารกที่ยาวนาน  ซึ่งทำให้สามารถเรียนรู้และเตรียมตัวที่จะอยู่ร่วมกันในสังคมได้ดี  ดังนั้นวิถีการดำรงชีวิตของมนุษย์ (พฤติกรรมของมนุษย์)  จึงเป็นไปโดย
การเรียนรู้  ผิดกับพฤติกรรมของสัตว์จะเป็นไปตามสัญชาตญาณ


มนุษย์มีสมองขนาดใหญ่  และระบบประสาทที่สลับซับซ้อนกว่าสัตว์อื่ สามารถคิดอ่านสิ่งต่าง ๆได้ดีกว่า  ฉลาดกว่าและ  มีเชาว์ปัญญาสูงกว่าสัตว์อื่น

ความได้เปรียบที่สำคัญของมนุษย์   
       ธรรมชาติสร้างให้มนุษย์มีลักษณะพิเศษหลายอย่างที่ได้เปรียบสัตว์ที่สำคัญ  มีดังนี้
1.  ความสามารถในการเรียนรู้ไร้ขีดจำกัด
2.  มีมันสมองที่ใหญ่และมีคุณภาพ  สามารถเดินได้เร็ว
3.  มีนิ้วมือที่สามารถใช้งานได้อย่างไร้ขีดจำกัด
4.  มีตาที่สามารถมองเห็นสิ่งต่างๆ ได้ดีและอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม
5.   มีอายุที่ยืนยาวกว่าสัตว์ชนิดอื่น ๆ
6.  มนุษย์มีชีวิตอยู่และเรียนรู้ร่วมกันเป็นสังคม
7.  มนุษย์มีกิจกรรมทางเพศตั้งแต่วัยหนุ่มสาวจนถึงวัยชรา
8.  มนุษย์สามารถเรียนรู้และมีความฉลาด  รู้จักใช้เหตุผลในการแก้ปัญหา 

ความเสียเปรียบที่สำคัญของมนุษย์   
        มนุษย์มีธรรมชาติหลายอย่างที่เสียเปรียบสัตว์จำพวกอื่น  ดังนี้
1.  มีระยะเวลาเป็นทารกที่ยาวนาน  ช่วยเหลือตัวเองในระยะเริ่มต้นของชีวิตไม่ได้
2.  มนุษย์ไม่มีเขี้ยวเล็บในการฉีกเนื้อและพืช  หรือป้องกันศัตรู
3.  มีความสามารถในการดมกลิ่น ด้อยกว่าสัตว์บางชนิด
4.  การขยายพันธุ์แต่ละครั้งต่ำกว่าสัตว์หลายชนิด 

ลักษณะพิเศษของมนุษย์
    มนุษย์มีลักษณะพิเศษที่สำคัญ  ดังนี้
            1. มนุษย์มีความสามารถในการใช้และสร้างสัญลักษณ์  สัญลักษณ์  คือ  สิ่งที่ใช้แทนสิ่งอื่น ๆ มนุษย์สามารถสร้างสัญลักษณ์ขึ้นมาใช้เป็นสื่อในการติดต่อระหว่างกัน  สัญลักษณ์มีความ
สำคัญต่อมนุษย์มาก  และมิได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติแต่เกิดจากการเรียนรู้  โดยผ่านกระบวนการเรียกเป็นภาษาทางราชการว่า “ กระบวนการขัดเกลาทางสังคม ”  โดยมีผู้ที่เกิดก่อนเป็นผู้สอนให้กับผู้ที่เกิดภายหลัง  เช่น  พ่อแม่สอนสัญลักษณ์ให้กับลูก   เป็นต้น 
         เนื่องจากสัญลักษรืมีเป็นจำนวนมาก และมีความหมายได้หลายนัย จึงเป็นระบบที่ยุ่งยากและซับซ้อนมนุษย์เท่านั้นที่จะใช้และสร้างระบบนี้ได้ ความสามรถในการใช้สัญลักษณ์จึงเป็นความสามารถพอเศษของมนุษย์อย่างหนึ่ง ตัวอย่างเช่น บ้าน สิ่งประดิษฐ์ต่างๆ เป็นสัญลักษณ์ทางวัตถุ การไหว้ การโบกมือ ยิ้ม สีหน้า เป็นสัญลักษณ์ทางการกระทำและกิริยาท่าทาง เป้นต้น ส่วนสัญลักษณ์ที่มนุษย์ใช้ในการติดต่อสื่อสารซึ่งกันและกันในชีวิตประจำวันที่สำคัญ คือ ภาษา


มนุษย์ใช้ภาษาเป็นสัญลักษณ์ในการติดต่อกับบุคคลในสังคม บุคคลที่ใช้ภาษาเดียวกันจะเข้าใจความหมายของสัญลักษณ์นั้น ๆ

        สัญลักษณ์มีความสำคัญต่อมนุษย์มาก  เพราะสัญลักษณ์เหล่านี้ช่วยให้มนุษย์สามารถติดต่อสัมพันธ์กันได้อย่างมีประสิทธิภาพ  ช่วยทำให้เข้าใจความหมายของวัตถุ  การกระทำ  กิริยาท่าทางหรือภาษาที่แสดงออกมา  ช่วยให้บุคคลสามารถประพฤติปฏิบัติตอบได้อย่างถูกต้องในสถานการณ์นั้น ๆ  ดังนั้นสัญลักษณ์ จึงเป็นความสามารถพิเศษของมนุษย์อย่างหนึ่ง
         2.  มนุษย์มีวัฒนธรรม  วัฒนธรรมทำให้มนุษย์แตกต่างจากสัตว์อื่นเพราะวัฒนธรรมทำให้สังคมมนุษย์มีระเบียบ  มีชีวิตที่ยืนยาว  มีความเจริญก้าวหน้า  ซึ่งสัตว์อื่นไม่อาจทำได้  วัฒนธรรมเป็นสิ่งที่เกิดจากการเรียนรู้ไม่ใช่สิ่งที่ติดตัวมนุษย์มาโดยกำเนิด และไม่ใช่สิ่งที่อาจถ่ายทอดทางพันธุ์กรรม  นิสัยและความสามารถต่าง ๆ ของมนุษย์

            การไหว้เป็นสัญลักษณ์ทางการกระทำอย่างหนึ่งที่มนุษย์
              เป็นผู้คิดขึ้นฝากไว้เป็นมรดกของสังคม  แสดงถึงการทำ
              ความเคารพ   การขอบคุณ   และการขอโทษ 


อ้างอิง : http://mathayom.brr.ac.th/

วันพฤหัสบดีที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ประวัติศาสตร์ไทย

             การศึกษาประวัติศาสตร์ไทยมักเริ่มนับตั้งแต่สมัยอาณาจักรสุโขทัยเป็นต้นมา หากแต่ในอาณาเขตประเทศไทยปัจจุบัน พบหลักฐานของมนุษย์ซึ่งมีอายุเก่าแก่ที่สุดถึงห้าแสนปี ตลอดจนหลักฐานของอารยธรรมและรัฐโบราณเป็นจำนวนมาก
             ภูมิภาคสุวรรณภูมิเคยถูกชาวมอญ เขมรและมาเลย์ปกครองมาก่อน ต่อมา คนไทยได้สถาปนาอาณาจักรของตนเอง เช่น อาณาจักรสุโขทัย ไล่เลี่ยกันกับอาณาจักรล้านนา อาณาจักรเชียงแสน และอาณาจักรอยุธยา อาณาจักรสุโขทัยเจริญรุ่งเรืองในช่วงเวลาค่อนข้างสั้นประมาณ 200 ปี ก็ถูกผนวกรวมกับอาณาจักรอยุธยา
             อาณาจักรอยุธยาเป็นอาณาจักรที่รุ่งเรืองมั่งคั่ง เป็นศูนย์กลางการค้าระดับนานาชาติ สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงปฏิรูปการปกครอง ซึ่งบางส่วนใช้สืบมาจนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และยังทรงตราพระราชกำหนดศักดินา ทำให้อยุธยาเป็นสังคมศักดินา อยุธยาเริ่มติดต่อกับชาติตะวันตกเมื่อ พ.ศ. 2054 หลังโปรตุเกสยึดครองมะละกา หลังจากนั้นใน พ.ศ. 2112 กรุงศรีอยุธยาตกเป็นประเทศราชของราชวงศ์ตองอูแห่งพม่า สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงประกาศอิสรภาพในอีก 15 ปีให้หลัง อาณาจักรอยุธยาเจริญถึงขีดสุดหลังจากนั้น ทั้งความสัมพันธ์กับต่างประเทศก็รุ่งเรืองมากในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช อาณาจักรอยุธยาเริ่มเสื่อมลง จนล่มสลายลงอย่างสิ้นเชิงใน พ.ศ. 2310
             พระยาตากได้รวบรวมไพร่พลกอบกู้เอกราช และย้ายราชธานีมายังกรุงธนบุรี รัชสมัยของพระองค์ถือเป็นช่วงเวลาของการทำสงครามและการฟื้นฟูความเจริญของชาติ อาณาจักรธนบุรีมีพระมหากษัตริย์ปกครองพระองค์เดียว กินระยะเวลาเพียง 15 ปี แล้วพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ขึ้นเมื่อวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2325 กรุงรัตนโกสินทร์ยังเผชิญกับภัยคุกคามจากประเทศเพื่อนบ้าน กระทั่งรัชกาลที่ 4
              การลงนามในสนธิสัญญาเบาว์ริง ทำให้ชาติตะวันตกหลายชาติเข้ามาทำสนธิสัญญาอันไม่เป็นธรรมอีกหลายฉบับ ต่อมา แม้จะมีการยกดินแดนให้ฝรั่งเศสและอังกฤษหลายครั้ง แต่สยามไม่เคยตกเป็นอาณานิคมของชาติตะวันตก กุศโลบายของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทำให้ไทยเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง โดยอยู่ฝ่ายสัมพันธมิตร อันทำให้สยามได้รับการยอมรับจากนานาประเทศ และนำมาซึ่งการแก้ไขสนธิสัญญาอันไม่เป็นธรรมทั้งหลาย
              วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 เกิดการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองมาเป็นประชาธิปไตย ทำให้คณะราษฎรเข้ามามีบทบาทในทางการเมือง ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ประเทศไทยได้ลงนามเป็นพันธมิตรทางทหารกับญี่ปุ่น แต่ในช่วงสงครามเย็น ประเทศไทยได้ดำเนินนโยบายเป็นพันธมิตรกับสหรัฐอเมริกา มีนโยบายต่อต้านการขยายตัวของคอมมิวนิสต์ในภูมิภาค
              หลังการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครอง ประเทศไทยยังถือได้ว่าอยู่ในระบอบเผด็จการในทางปฏิบัติอยู่หลายทศวรรษ ประเทศไทยประสบกับความไร้เสถียรภาพทางการเมือง และมีการสืบทอดอำนาจรัฐบาลทหารผ่านรัฐประหารหลายสิบครั้ง อย่างไรก็ดี หลังจากนั้นได้มีเหตุการณ์เรียกร้องประชาธิปไตยครั้งสำคัญในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ประชาธิปไตยในประเทศเริ่มมีความมั่นคงยิ่งขึ้น

1. การแบ่งยุคสมัย

              การจัดแบ่งยุคทางประวัติศาสตร์ของไทยนั้น สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงแสดงพระทัศนะไว้ในพระนิพนธ์เรื่อง "ตำนานหนังสือพระราชพงศาวดาร" ในพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาเมื่อ พ.ศ. 2457 ถึงการแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ของไทยไว้ว่า "เรื่องพระราชพงศาวดารสยาม ควรจัดแบ่งเป็น 3 ยุค คือ เมื่อกรุงสุโขทัยเป็นราชธานียุค 1 เมื่อกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานียุค 1 เมื่อกรุงรัตนโกสินทร์เป็นราชธานียุค  ซึ่งการลำดับสมัยทางประวัติศาสตร์แบบเส้นตรง (Linear) โดยวางโครงเรื่องผูกกับกำเนิดและการล่มสลายของรัฐ กล่าวคือใช้รัฐหรือราชธานีเป็นศูนย์กลางเช่นนี้ ยังคงมีอิทธิพลอยู่มากต่อการเข้าใจประวัติศาสตร์ไทยในปัจจุบัน
              ในปัจจุบัน มีข้อเสนอใหม่ ๆ เกี่ยวกับโครงเรื่องประวัติศาสตร์ไทยขึ้นมาบ้าง ที่สำคัญคือ ศ.ดร.นิธิ เอียวศรีวงศ์ได้เสนอถึงหัวข้อสำคัญที่ควรเป็นแกนกลางของประวัติศาสตร์แห่งชาติไทยไว้ 8 หัวข้อ ดังนี้
      - การตั้งถิ่นฐานของผู้คน นับตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ถึงยุคประวัติศาสตร์ตอนต้น
      - การเข้ามาของอารยธรรมใหญ่ คืออินเดียและจีน
      - ความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในคริสต์ศตวรรษที่ 13
      - ยุคสมัยของการค้า (คริสต์ศตวรรษที่ 15-17)
      - ก่อนสมัยใหม่
      - รัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์สยาม
      - การปฏิวัติ 2475 และกำเนิดรัฐประชาชาติในทางทฤษฎี
      - การปฏิวัติ 14 ตุลาคม 2516

2. ยุคก่อนประวัติศาสตร์และรัฐโบราณในประเทศไทย

2.1 หลักฐานยุคก่อนประวัติศาสตร์
               นักโบราณคดีชาวฮอลันดา ดร. เอช. อาร์. แวน ฮิงเกอเรน ได้ขุดค้นพบเครื่องมือหินเทาะซึ่งทำขึ้นโดยมนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์ บริเวณใกล้สถานีบ้านเก่า จังหวัดกาญจนบุรี โดยมีข้อสันนิษฐานว่ามนุษย์เหล่านี้อาจเป็น มนุษย์ชวาและมนุษย์ปักกิ่ง ซึ่งอยู่อาศัยเมื่อประมาณ 5 แสนปีมาแล้ว อันเป็นหลักฐานในยุคหินเก่า
              ในประเทศไทยพบหลักฐานของมนุษย์ยุคหินกลางในหลายจังหวัด โดยที่อำเภอไทรโยค ได้ขุดค้นพบเครื่องมือหินและโครงกระดูก จึงทำให้สันนิษฐานว่าดินแดนซึ่งแม่น้ำกลองไหลผ่านได้มีมนุษย์อยู่อาศัยมานานกว่า 20,000 ปี ส่วนเครื่องปั้นดินเผาที่เก่าที่สุดในประเทศไทย อายุเกือบ 1,000 ปี ถูกค้นพบที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน จึงทำให้เกิดแนวคิดที่ว่าเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นถิ่นกำเนิดของการกสิกรรมครั้งแรกของโลก นอกจากนี้ยังค้นพบขวานหินขัดในหลายภาคของประเทศไทย ซึ่งเป็นหลักฐานของมนุษย์ยุคหินใหม่
              การขุดค้นโดยวิทยา อันทรโกศัย แห่งกรมศิลปากร ทำให้พบโครงกระดูกและเศษผ้าไหมติดกระดูกเครื่องปั้นดินเผาที่บ้านเชียง จังหวัดอุดรธานี ซึ่งคาดว่ามีอายุถึง 3,000 ปี ก่อนที่การค้นพบหลักฐานเพิ่มเติมที่ตำบลโคกพนมดี จังหวัดปราจีนบุรี ซึ่งยืนยันว่ามีอายุ 5,000 ปี อาจเป็นจุดเริ่มต้นของวัฒนธรรมสูง และเผยแพร่ไปส่ประเทศจีนและส่วนอื่น ๆ ของทวีปเอเชีย นายดอน ที บายาด ยังได้ขุดค้นขวานทองแดงในบ้านโนนนกทา จังหวัดขอนแก่น ยืนยันถึงการใช้เครื่องสำริดในยุคหินใหม่ ซึ่งเก่าแก่กว่าหลักฐานที่ขุดค้นพบในจีนและอินเดียกว่า 500-1,000 ปี

2.2 ชนพื้นเมืองและการอพยพเข้ามาในประเทศไทย
              นักมานุษยวิทยาได้จัดประเภทมนุษย์สมัยโบราณรุ่นแรกในตระกูลออสโตเนเซียน ซึ่งเป็นพวกที่อพยพเข้ามาในประเทศไทยเมื่อหลายพันปีที่แล้ว รวมทั้งเป็นบรรพบุรุษของชนชาติในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ปัจจุบัน ต่อมา มนุษย์ในตระกูลมอญและเขมรจะอพยพเข้ามาจากจีนหรืออินเดียด้วย ก่อนที่พวกไทยจะอพยพเข้ามาแย่งชิงดินแดนจากพวกละว้า ซึ่งเป็นชนชาติล้าหลัง ชาวเขาที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยปัจจุบันจึงสันนิษฐานว่าสืบเชื้อสายมาจากพวกละว้า

2.3 แนวคิดเกี่ยวกับถิ่นกำเนิดของชนชาติไท
            แนวคิดเกี่ยวกับถิ่นกำเนิดของชนชาติไทประกอบด้วยแนวคิดทั้งหลายซึ่งอธิบายถึงถิ่นกำเนิดของชนชาติไทที่อาศัยอยู่ในประเทศปัจุจุบบันดดยมีอยู่หลายแนวคิด เช่น
  1 แถบตอนใต้ของจีน
  2 ดินแดนประเทศไทยปัจจุบัน
  3 แถบตอนกลางของจีน
  4 แถบเทือกเขาอัลไต
  5 แถบหมู่เกาะ

    2.4 รัฐโบราณในประเทศไทย
                จากหลักฐานด้านโบราณคดี ตำนาน นิทานพื้นบ้าน บันทึกราชการของจีน และบันทึกของพระภิกษุจีนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในพุทธศตวรรษที่ 12 ทำให้ทราบว่ามีอารยธรรมมนุษย์ได้สถาปนาอำนาจในประเทศไทยเป็นเวลานานแล้ว โดยอาณาจักรโบราณในดินแดนประเทศไทยปัจจุบัน สามารถจำแนกได้ดังรายชื่อด้านล่าง
       - อาณาจักรทวารวดี
       - อาณาจักรละโว้
       - อาณาจักรฟูนัน
       - อาณาจักรขอม
       - แคว้นจำปาศักดิ์ อาณาจักรเจนละ
       - แคว้นศรีจนาศะปุระ
       - อาณาจักรโคตรบูร
       - อาณาจักรหริภุญชัย
       - อาณาจักรโยนกเชียงแสน
       - รัฐผั่น-ผั่น
       - อาณาจักรตามพรลิงก์
       - รัฐลังกาสุกะ
       - รัฐเชียะโท้

    3. สมัยอาณาจักรสุโขทัย และยุครุ่งเรืองของอาณาจักรล้านนา

                นครรัฐของไทยค่อย ๆ เป็นอิสระจากจักรวรรดิขะแมร์ที่เสื่อมอำนาจลง กล่าวกันว่า พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ทรงสถาปนาราชอาณาจักรที่เข้มแข็งและมีเอกราชเมื่อ พ.ศ. 1781 อาณาจักรสุโขทัยมีการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราช แต่ในรูปแบบที่นักประวัติศาสตร์เรียกว่า ปิตุราชา หรือ พ่อปกครองลูก ที่ผู้ปกครองใกล้ชิดกับผู้ใต้ปกครอง ราษฎรสามารถสั่นกระดิ่งหน้าพระราชวังเพื่อร้องทุกข์แก่พระมหากษัตริย์ได้โดยตรง อาณาจักรสุโขทัยแผ่ขยายดินแดนออกไปอย่างกว้างขวางในรัชสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ผู้ประดิษฐ์อักษรไทย หากเป็นช่วงสั้น ๆ เสถียรภาพของอาณาจักรได้อ่อนแอลงภายหลังการสวรรคตของพระองค์[13] รัชสมัยพญาลิไทมีการเปลี่ยนรูปแบบการปกครองมาเป็นธรรมราชา จากการรับอิทธิพลของศาสนาพุทธนิกายเถรวาท แบบลังกาวงศ์ อาณาจักรสุโขทัยเสื่อมลงและตกเป็นเมืองขึ้นของรัฐไทยอีกรัฐหนึ่งที่อุบัติขึ้น คือ อาณาจักรอยุธยาในพื้นที่เจ้าพระยาตอนล่าง
                ในเวลาไล่เลี่ยกัน อาณาจักรล้านนาถูกก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 1802 โดยพญามังราย ที่ขยายอำนาจมาจากลุ่มแม่น้ำกกและอิง สู่ลุ่มแม่น้ำปิง พญามังรายได้สร้างเมืองเชียงใหม่ และทรงมีสัมพันธ์อันดีกับพ่อขุนรามคำแหงแห่งสุโขทัย อาณาจักรเชียงใหม่หรือล้านนา มีอำนาจสืบต่อมาในแถบลุ่มแม่น้ำปิง เชียงใหม่มีความสัมพันธ์ที่ไม่ราบรื่นนักกับอาณาจักรอยุธยา หรือกรุงศรีอยุธยา ที่เรืองอำนาจในพุทธศตวรรษที่ 19-20 มีการทำสงครามผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะอย่างต่อเนื่อง ในที่สุดเชียงใหม่ได้ปราชัยต่อพม่า ในปีพ.ศ. 2101 ถูกพม่ายึดครองอีกครั้งในราวปี 2310 กระทั่งเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2318 สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช และ พระเจ้าบรมราชาธิบดีกาวิละ ได้ทรงขับไล่พม่าออกจากดินแดนล้านนา โดยหลังจากนั้น พระเจ้าบรมราชาธิบดีกาวิละ ได้ทรงปกครองอาณาจักรล้านนา ในฐานะประเทศราชสยาม

    3.1  สาเหตุการเลือกอาณาจักรสุโขทัยเป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์ไทย
           นักวิชาการให้เหตุผลในการเลือกเอาอาณาจักรสุโขทัยเป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์ไทยไว้ 2 เหตุผล ได้แก่
         1. วิชาประวัติศาสตร์มักจะยึดเอาการที่มนุษย์เริ่มมีภาษาเขียนเป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์ หลักฐานประเภทลายลักษณ์ถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ซึ่งเมื่อประกอบกับการประดิษฐ์อักษรไทยขึ้นในรัชสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช จึงเหมาะสมที่จะเป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์ไทย
         2. เป็นการสะดวกในด้านการนับเวลาและเหตุการณ์ที่ต่อเนื่องกัน ทั้งนี้ นักประวัติศาสตร์มีหลักฐานความสืบเนื่องกันตั้งแต่สมัยสุโขทัยมาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์จนถึงปัจจุบัน
    ทว่า เหตุผลทั้งสองประการก็ยังไม่เป็นที่ยอมรับกันอย่างเป็นเอกฉันท์นัก

    4. สมัยอาณาจักรอยุธยา

              พระเจ้าอู่ทองทรงก่อตั้งอาณาจักรอยุธยาในปี พ.ศ. 1893 ซึ่งในช่วงแรกนั้นก็มิได้เป็นศูนย์กลางของชาวไทยในดินแดนคาบสมุทรอินโดจีนทั้งปวง แต่ด้วยความเข้มแข็งที่ทวีเพิ่มขึ้นประกอบกับวิธีการทางการสร้างความสัมพันธ์กับชาวไทยกลุ่มต่าง ๆ ในที่สุดอยุธยาก็สามารถรวบรวมกลุ่มชาวไทยต่าง ๆ ในดินแดนแถบนี้ให้เข้ามาอยู่ภายใต้อำนาจได้ นอกจากนี้ยังกลายมาเป็นรัฐมหาอำนาจทางการเมืองและเศรษฐกิจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างรวดเร็ว
              การเข้าแทรกแซงสุโขทัยอย่างต่อเนื่องทำให้อาณาจักรสุโขทัยตกเป็นประเทศราชของอาณาจักรอยุธยาในที่สุด สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงปฏิรูปการปกครองโดยการรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลาง การยึดครองมะละกาของโปรตุเกสในปี พ.ศ. 2054 ทำให้อยุธยาเริ่มการติดต่อกับชาติตะวันตก ในสมัยอาณาจักรอยุธยามีการติดต่อกับต่างประเทศอยู่หลายชาติ โดยชาวโปรตุเกสได้เดินทางมายังกรุงศรีอยุธยาในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 16 หลังจากนั้น ชาติที่เข้ามาอาศัยอยู่ในกรุงศรีอยุธยาเป็นจำนวนมากและมีบทบาทสำคัญ ได้แก่ ชาวดัตช์ ชาวฝรั่งเศส ชาวจีน และชาวญี่ปุ่น
              ราวกลางคริสต์ศตวรรษที่ 16 เมื่อราชวงศ์ตองอูของพม่าเริ่มมีอำนาจมากขึ้น การสงครามอันยาวนานนับตั้งแต่ พ.ศ. 2091 ส่งผลให้อยุธยาตกเป็นประเทศราชของอาณาจักรตองอูในที่สุด ก่อนที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชจะทรงประกาศอิสรภาพในอีก 15 ปีต่อมา
              อาณาจักรอยุธยาเป็นอาณาจักรที่มีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล จากทิศเหนือจรดอาณาจักรล้านนา ไปจรดคาบสมุทรมลายูทางทิศใต้ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของอยุธยารุ่งเรืองขึ้นอย่างมากในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช อย่างไรก็ตาม ความสงสัยในตัวของคอนสแตนติน ฟอลคอน ทำให้ถูกสังหารโดยพระเพทราชา อาณาจักรอยุธยาเริ่มเสื่อมอำนาจลงราวพุทธศตวรรษที่ 24 การทำสงครามกับพม่าหลังจากนั้นส่งผลทำให้อยุธยาถูกปล้นสะดมและเผาทำลาย เมื่อปี พ.ศ. 2310

    5. สมัยกรุงธนบุรีและกรุงรัตนโกสินทร์

    5.1  รัชสมัยสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีและกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น
             ในปี พ.ศ. 2310-2325 เริ่มต้นหลังจากที่สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีได้ขับไล่ทหารพม่าออกจากแผ่นดินไทย ทำการรวมชาติ และได้ย้ายเมืองหลวงมาอยู่ที่กรุงธนบุรี โดยจัดตั้งการเมืองการปกครอง มีลักษณะการเมืองการปกครองยังคงดำรงไว้ซึ่งการเมืองการปกครองภายในสมัยอยุธยาอยู่ก่อน โดยมีพระมหากษัตริย์มีอำนาจเด็ดขาดในการเมืองการปกครอง อย่างไรก็ตาม ภายหลังสิ้นรัชสมัยสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกได้สถาปนาตนขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี และทรงย้ายเมืองหลวงมายังกรุงเทพมหานคร เริ่มยุคสมัยแห่งกรุงรัตนโกสินทร์
             ในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1790 กองทัพพม่าถูกขับไล่ออกจากดินแดนรัตนโกสินทร์อย่างถาวร และทำให้แคว้นล้านนาปลอดจากอิทธิพลของพม่าเช่นกัน โดยล้านนาถูกปกครองโดยราชวงศ์ที่นิยมราชวงศ์จักรีนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา จนกระทั่งถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของราชอาณาจักรสยามอย่างเป็นทางการ
             สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ไทยยังเผชิญกับการรุกรานจากประเทศเพื่อนบ้าน ได้แก่ สงครามเก้าทัพ สงครามท่าดินแดงกับพม่า ตลอดจนกบฏเจ้าอนุวงศ์กับลาว และอานามสยามยุทธกับญวน
            ในช่วงนี้ กรุงรัตนโกสินทร์ยังไม่ค่อยมีการติดต่อค้าขายกับชาติตะวันตกมากนัก ต่อมาเมื่อชาวตะวันตกเริ่มเข้ามาค้าขายอีก ได้ตระหนักว่าพวกพ่อค้าจีนได้รับสิทธิพิเศษเหนือคนไทยและพวกตน จึงได้เริ่มเรียกร้องสิทธิพิเศษต่าง ๆ มาโดยตลอด มีการเดินทางเยือนของทูตหลายคน อาทิ จอห์น ครอเฟิร์ต ตัวแทนจากบริษัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษ ซึ่งเข้ามาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย แต่ยังไม่บรรลุข้อตกลงใด ๆ สนธิสัญญาที่มีการลงนามในช่วงนี้ เช่น สนธิสัญญาเบอร์นี และสนธิสัญญาโรเบิร์ต แต่ก็เป็นเพียงข้อตกลงที่ไม่มีผลกระทบมากนัก และชาวตะวันตกไม่ค่อยได้รับสิทธิพิเศษเพิ่มมากขึ้นแต่อย่างใด
              อย่างไรก็ตาม ได้มีคณะทูตตะวันตกเข้ามาเสนอสนธิสัญญาข้อตกลงทางการค้าอยู่เรื่อย ๆ เพื่อขอสิทธิทางการค้าให้เท่ากับพ่อค้าจีน และอังกฤษต้องการเข้ามาค้าฝิ่นอันได้กำไรมหาศาล[15] แต่ไม่ประสบความสำเร็จ ทั้งคณะของเจมส์ บรุคจากอังกฤษ และโจเซฟ บัลเลสเตียร์จากสหรัฐอเมริกา ทำให้ชาวตะวันตกขุ่นเคืองต่อราชสำนัก

    5.2 การเผชิญหน้ากับมหาอำนาจตะวันตก
              ภายหลังจากที่พม่าตกเป็นอาณานิคมของอังกฤษในปี พ.ศ. 2369 พระมหากษัตริย์ไทยในรัชสมัยถัดมาจึงทรงตระหนักถึงภัยคุกคามที่มาจากชาติมหาอำนาจในทวีปยุโรป และพยายามดำเนินนโยบายทอดไมตรีกับชาติเหล่านั้น อย่างไรก็ตาม สยามมีการเปลี่ยนแปลงดินแดนหลายครั้ง รวมทั้งตกอยู่ในสถานะรัฐกันชนระหว่างอังกฤษและฝรั่งเศส ถึงกระนั้น สยามก็ไม่ตกเป็นอาณานิคมของชาติตะวันตก

    5.3 การปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครอง
              เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ได้มีกลุ่มบุคคลที่เรียกว่า คณะราษฎร ได้ปฏิวัติเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครอง จากสมบูรณาญาสิทธิราชมาเป็นราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ เป็นเหตุการณ์ที่สร้างความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองการปกครองแก่ประเทศไทยอย่างมาก และทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์ที่เคยเป็นผู้ปกครองสูงสุดของประเทศมาช้านานต้องสูญเสียอำนาจส่วนใหญ่ไปในที่สุด โดยมีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2475 ขึ้นเป็นรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยอย่างถาวรเป็นฉบับแรก
              ภายหลังจากเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงดังกล่าว การต่อสู้ทางการเมืองยังคงมีการต่อสู้กันระหว่างผู้นำในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช กับระบอบใหม่ รวมทั้งความขัดแย้งในผู้นำระบอบใหม่ด้วยกันเอง โดยการต่อสู้ทางการเมืองและทางความคิดอุดมการณ์นี้ได้ดำเนินต่อเนื่องยาวนานเป็นเวลากว่า 25 ปีภายหลังจากการปฏิวัติ และนำไปสู่ยุคตกต่ำของคณะราษฎรในกาลต่อมา ทำให้การเปลี่ยนแปลงการปกครองดังกล่าวถูกมองว่าเป็นพฤติการณ์ "ชิงสุกก่อนห่าม" เนื่องจากชาวไทยยังไม่พร้อมสำหรับการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อีกทั้งการปกครองในระยะแรกหลังการปฏิวัติยังคงอยู่ในระบอบเผด็จการทหาร

    5.4 สงครามโลกครั้งที่สอง
              ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ได้มีการเดินขบวนเรียกร้องให้รัฐบาลเอาดินแดนคืนของนิสิตนักศึกษา จอมพลแปลก พิบูลสงคราม จึงส่งทหารข้ามแม่น้ำโขงและรุกรานอินโดจีนฝรั่งเศส จนได้ดินแดนคืนมา 4 จังหวัด ภายหลังการเข้าไกล่เกลี่ยของญี่ปุ่น โดยมีการรบที่เป็นที่รู้จักกันมาก ได้แก่ การรบที่เกาะช้าง
              ต่อมา หลังจากการโจมตีกองทัพเรือสหรัฐอเมริกาที่เพิร์ลฮาร์เบอร์ กองทัพญี่ปุ่นก็ได้รุกรานประเทศไทย โดยต้องการเคลื่อนทัพผ่านดินแดน รัฐบาลจอมพลแปลก พิบูลสงครามได้ดำเนินนโยบายเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่น รวมทั้งลงนามในสนธิสัญญาพันธมิตรทางการทหารกับญี่ปุ่น และประกาศสงครามต่อสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักร ซึ่งนโยบายดังกล่าวของรัฐบาลถูกต่อต้านจากทั้งในและนอกประเทศ เนื่องจากไทยประสบกับภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ
              หลังสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลงในปี พ.ศ. 2488 แม้ว่าประเทศไทยจะตกอยู่ในสถานะประเทศผู้แพ้สงคราม แต่เนื่องจากการเคลื่อนไหวของขบวนการเสรีไทย ทำให้ฝ่ายสัมพันธมิตรยอมรับ และไม่ถูกยึดครอง เพียงแต่ต้องคืนดินแดนระหว่างสงครามให้กับอังกฤษและฝรั่งเศส และจ่ายค่าเสียหายทดแทนเท่านั้น

    5.5 สงครามเย็น
              รัฐบาลไทยได้ดำเนินนโยบายเป็นพันธมิตรของสหรัฐอเมริกาในระหว่างสงครามเย็น ดังจะเห็นได้จากนโยบายต่อต้านการขยายตัวของคอมมิวนิสต์ในคาบสมุทรอินโดจีน และยังส่งทหารไปร่วมรบกับฝ่ายพันธมิตร ได้แก่ สงครามเกาหลี และสงครามเวียดนาม
              ประเทศไทยประสบกับปัญหากองโจรคอมมิวนิสต์ในประเทศระหว่างคริสต์ทศวรรษ 1960 และ 1970 อย่างไรก็ตาม ปัญหาดังกล่าวก็ไม่ค่อยจะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศสักเท่าไหร่ และกองโจรก็หมดไปในที่สุด

    5.6 การพัฒนาประชาธิปไตย

              หลังจากปัจจัยแวดล้อมด้านต่าง ๆ ได้รับการพัฒนาขึ้น ประชาชนมีความพร้อมต่อการใช้อำนาจอธิปไตยเพิ่มมากขึ้น การเรียกร้องอำนาจอธิปไตยคืนจากฝ่ายทหารก็เกิดขึ้นเป็นระยะ กระทั่งในที่สุด ภายหลังจากเหตุการณ์ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 ฝ่ายทหารก็ไม่สามารถถือครองอำนาจอธิปไตยได้อย่างถาวรอีกต่อไป อำนาจอธิปไตยจึงได้เปลี่ยนไปอยู่ในมือของกลุ่มนักการเมือง ซึ่งประกอบด้วยกลุ่มบุคคลสามกลุ่มหลัก คือ กลุ่มทหารที่เปลี่ยนบทบาทมาเป็นนักการเมือง กลุ่มนายทุนและผู้มีอิทธิพล และกลุ่มนักวาทศิลป์ แต่ต่อมาภายหลังจากการสิ้นสุดลงของยุคสงครามเย็น โลกได้เปลี่ยนมาสู่ยุคการแข่งขันกันทางการค้าซึ่งมีความรุนแรงเป็นอย่างมาก กลุ่มการเมืองที่มาจากกลุ่มทุนนิยมสมัยใหม่ได้เข้ามามีบทบาทแทน


    อ้างอิงhttp://th.wikipedia.org/wiki/